|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เงินเฟ้อต.ค. เพิ่มในอัตราที่ชะลอตัวลงเหลือแค่ 3.9% หลังราคาน้ำมันลดต่อเนื่อง และพาณิชย์ขอความร่วมมือผู้ผลิตลดราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุน คาดทั้งปีขยายตัว 5.9-6.3% จากเป้าเดิม 6.5-6.9% ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานทั้งปีคาดอยู่ที่ 2.2-2.7% ลดจากเป้าหมายเดิม 3-3.5% ปีหน้ายังพยากรณ์ไม่ได้ เหตุราคาน้ำมัน-ค่าเงินบาทยังผันผวน แต่มั่นใจลดลงจากปีนี้แน่
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของไทย (เงินเฟ้อ) ประจำเดือนต.ค.2551 เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.2551 ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.2550 สูงขึ้น 3.9% ซึ่งเป็นการสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง และเมื่อเทียบดัชนีเฉลี่ยช่วง 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) ปีนี้กับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 6.3%
“เงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงมาก เพราะราคาน้ำมันลดลง และยังได้ผลดีจากการที่กระทรวงพาณิชย์ได้ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการต่างๆ ปรับลดราคาสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุน ทั้งน้ำมันพืช อาหารสัตว์ ปุ๋ยเคมี เหล็ก และอาหารสำเร็จรูป ทำให้เงินเฟ้อเริ่มปรับตัวลดลง และคาดว่าถ้าเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนที่เหลือยังคงลดลง เงินเฟ้อทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 5.9-6.3% จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะขยายตัว 6.5-6.9%”นายศิริพลกล่าว
ส่วนเป้าหมายเงินเฟ้อปีหน้า คาดจะชะลอตัวลงจากปีนี้ แต่ยังบอกไม่ได้ว่าเท่าไร เพราะอยู่ระหว่างการดูตัวเลข ทั้งค่าเงินบาท ราคาน้ำมันโลก ซึ่งยังผันผวนอยู่ อีกทั้งยังจะเพิ่มสินค้ารายการใหม่ๆ เข้าไปในการคำนวณด้วย เพื่อให้ทันสมัย สอดคล้องกับเหตุการณ์ปัจจุบัน และสะท้อนค่าใช้จริงของประชาชนมากขึ้น คาดจะประกาศอย่างเป็นทางการได้ราวสิ้นเดือนพ.ย.นี้
สำหรับเงินเฟ้อเดือนต.ค.2551 เมื่อเทียบกับเดือนก.ย.2551 ที่ลดลง 1.2% นั้น เป็นผลจากดัชนีหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 1.9% จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ที่ลดราคาลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศลดลงถึง 12.1% และค่าโดยสารสาธารณะลดลง 0.4% ทั้งค่าโดยสารรถประจำทางธรรมดา-ปรับอากาศขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และรถร่วม ค่าโดยสารรถเมล์เล็ก รวมถึงค่าโดยสารรถประจำทางปรับอากาศในต่างจังหวัด ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.2551 แต่ค่ากระแสไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) สูงขึ้น 0.7770 บาท/หน่วย ทำให้ค่าค่ากระแสไฟฟ้าสูงขึ้น 5.4%
ประกอบกับดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 0..2% จากการลดลงของดัชนีหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์ 1.2% สินค้าสำคัญที่ราคาลดลง เช่น ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว รวมถึงการลดลงของผักและผลไม้ เนื้อสัตว์ ส่วนสินค้าที่ราคาสูงขึ้น เช่น เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ทั้งกาแฟผงสำเร็จรูป น้ำผลไม้ นมและผลิตภัณฑ์ และเครื่องประกอบอาหาร
อย่างไรก็ตาม แม้เงินเฟ้อเดือนต.ค.2551 เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.2550 เพิ่มขึ้น 3.9% แต่เป็นการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัว จากเดือนก.ย.2551 ที่เพิ่มขึ้นถึง 6% เพราะดัชนีหมวดไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลง 2.4% จากการลดลงของหมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร 0.1% และหมวดเคหสถาน 7.6% ขณะที่หมวดอาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 14% จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์ ผักและผลไม้ เครื่องประกอบอาหาร ผลิตภัณฑ์นม เป็นต้น
นายศิริพลกล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ ที่หักสินค้ากลุ่มอาหารสด และพลังงาน ประจำเดือนต.ค.2551 เมื่อเทียบกับเดือยก.ย.2551 สูงขึ้น 0.1% เมื่อเทียบกับเดือนต.ค.2550 สูงขึ้น 2.4% และเมื่อเทียบเฉลี่ย 10 เดือนปีนี้กับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 2.4% ส่วนทั้งปีคาดอยู่ที่ 2.2-2.7% ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่คาดขยายตัว 3-3.5%
สินค้าคงคลังพุ่งจับตาอุตฯชะลอการผลิต
แหล่งข่าวจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ผลพวงจากวกฤติการเงินสหรัฐฯส่งผลให้สศอ.ต้องติดตามภาวะอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดในช่วงไตรมาส 4 นี้โดยเฉพาะสินค้าสำเร็จรูปคงคลังที่ล่าสุดพบว่ามีปริมาณที่เพิ่มขึ้นในช่วงเดือนต.ค.เมื่อเทียบกับก.ย.และมีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากไม่สามารถระบายการจำหน่ายออกสู่ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศตามเป้าหมายดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่ภาคการผลิตจะชะลอการผลิตลงในช่วงสิ้นปีนี้
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ผู้อำนวยการสศอ. กล่าวว่า ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม(มูลค่าเพิ่ม)เดือนก.ย.อยู่ที่ 186.17 เพิ่มขึ้น 2.95% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งถือเป็นการเติบโตที่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาซึ่งสาเหตุสำคัญเนื่องจากผลกระทบจากวิกฤติการเงินโลกส่งผลให้หลายอุตสาหกรรมมียอดขายในประเทศและการส่งออกที่ลดลงโดยเฉพาะอุตสาหกรรมประเภทวัสดุก่อสร้างเช่น ปูนซิเมนต์ เหล็ก อุตสาหกรรมปิโตรเลียม เครื่องประดับเพชรพลอย อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น
“สินค้าส่วนใหญ่มียอดส่งออกลดลงจากวิกฤติการเงินสหรัฐทำให้แรงซื้อลดต่ำ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่จัดเป็นประเภทฟุ่มเฟือยจะเห็นได้ชัด ซึ่งพบว่าการผลิตและการจำหน่ายเครื่องประดับลดลง ค่อนข้างชัดเจนเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ปัจจัยความผันผวนของราคาทองคำ ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จึงเป็นเหตุให้สินค้าในกลุ่มนี้ซบเซา “นายอาทิตย์กล่าว
|
|
|
|
|