Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน3 พฤศจิกายน 2551
“ดิโอโร่”ลุยห้าง-คอมมูนิตี้มอลล์ ผนึกไทยสมาร์ทการ์ดขยายฐาน             
 


   
search resources

Coffee
โกลเด้นครีม, บจก.




ร้านกาแฟดิโอโร่ปรับแผนรุกปีหน้า ลุยช่องทางใหม่ตามห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ นำร่องปีนี้จ่อผุด 2 สาขาก่อน หวังขยายฐานตลาด ล่าสุดเข้าศูนย์การศึกษาซียูสแควร์สามย่าน ผนึกไทยสมาร์ทการ์ดออกบัตรแบรนด์ “ ดิโอโร่สมาร์ท”

นางนิรมล ศรีสุรินทร์ กรรมการบริหาร บริษัท โกลเด้นครีม จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟ ดิโอโร่ ของคนไทย เปิดเผยว่า สภาวะเศรษฐกิจในเมืองไทยรวมทั้งปัญหาทางด้านการเมืองที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านกาแฟที่มีอัตราการเติบโตที่น้อยลงด้วยเช่นกัน รวมไปถึงผู้ประกอบการรายเล็กๆก็มีการเลิกกิจการไปจำนวนมากหลังจากที่มีการเปิดตัวกันมากมายในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆ

อย่างไรก็ตาม มองว่าธุรกิจร้านกาแฟในเมืองไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องมีความพร้อมและมีการปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลอดเวลา จึงจะอยู่รอด ซึ่งในส่วนของบริษัทฯเองนั้น พบว่าดิโอโร่มีอัตราการเติบโตที่ดีต่อเนื่องโดยเฉลี่ย 20% แต่ยอมรับปีนี้อาจจะเติบโตน้อยลงอยู่ที่ 10% กว่าๆเพราะมีปัจจัยลบหลายอย่างนั่นเอง

ดังนั้นนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯในปีหน้ามีแผนที่จะขยายสาขาของร้านกาแฟดิโอโร่ไปยังพื้นที่ทำเลใหม่ๆ โดยเฉพาะการรุกเข้าห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานและคอมมูนิตี้มอลล์ รวมทั้งสแตนด์อโลนด้วย หลังจากที่ผ่านมามักจะเปิดร้านในปั๊มน้ำมันเชลล์และสแตนด์อโลนเป็นหลัก การทำกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง การจับมือกับพันธมิตรเพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมาย

โดยปีหน้ามีแผนเปิดสาขาประมาณ 5 สาขา ทั้งนี้ได้มีการเจรจากับทางเจ้าของห้างสรรพสินค้าและคอมมูนิตี้มอลล์อีกหลายแห่ง แต่ยังไม่ได้สรุปผลการเจรจา คาดว่าก่อนสิ้นปีนี้จะเห็นได้อย่างต่ำ 2 สาขาที่เปิดในคอมมูนิตี้มอลล์ หากไม่มีเหตุการณ์อะไรที่รุนแรงเกิดขึ้นทางการเมืองมากกว่านี้ คาดว่าจะลงทุนสาขาละประมาณ 700,000 - 1 ล้านบาท

ขณะที่ทำเลในปั๊มน้ำมันนั้น คาดว่าปีหน้าจะไม่ได้มุ่งเน้นมากนัก แต่จะชะลอตัวเล็กน้อย เนื่องจากว่าที่ผ่านมาได้เปิดไปมากแล้ว แต่ถ้าหากได้ทำเลที่ดีๆก็จะเปิดเช่นกัน ซึ่งรูปแบบเปิดร้านนั้นจะเน้นการลงทุนเอง ส่วนแฟรนไชส์ก็มีบ้างแต่ไม่ได้เน้นมากนัก

ปัจจุบันร้านกาแฟดิโอโร่เปิดบริการมาแล้วประมาณ 9 ปี มีสาขาประมาณ 70 กว่าแห่ง ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณทลเป็นหลัก มีในต่างจังหวัดเล็กน้อยเช่นที่ สระบุรี ขณะที่สัดส่วนที่เปิดในปั๊มมีมากกว่า 40 สาขา

ล่าสุดคือการเปิดสาขาในซียูสแควร์ ซึ่งเป็นศูนย์การศึกษาที่สามย่าน และถือเป็นสาขาแรกที่เปิดอยู่ในร้านหนังสือ ซึ่งถือเป็นทำเลแบบใหม่ของดิโอโร่ที่ขยายตัวออกไปและยังสามารถขยายฐานไปยังกลุ่มนักศึกษาได้อีกด้วย ซึ่งดิโอโร่มีกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายครอบคลุมด้วยคอนเซ็ปท์แฟมิลี่คอฟฟี่เฮาส์ ตั้งแต่อายุ 20-50 ปี ขณะที่มีฐานสมาชิกรวมกันมากกว่า 20,000 ราย

ล่าสุดดิโอโร่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกับทางบริษัท ไทยสมาร์ทการ์ด จำกัด เพื่อออกบัตรโคแบรนด์ ดิโอโร่สมาร์ทเพิร์ส เพื่อให้ผู้ถือบัตรนี้สามารถใช้แทนเงินสดได้ โดยสมัครเป็นสมาชิกเสียเงิน 500 บาท แต่จะได้รับคูปองมีมูลค่ารวม 670 บาท ซึ่งขณะนี้มีร้านดิโอโร่ที่สามารถรับบัตรได้แล้วมีประมาณ 40 กว่าสาขา และจะทยอยให้รับบัตรได้ครบทุกสาขาต่อไป โดยขณะนี้มียอดขายบัตรดังกล่าวแล้วเฉลี่ย 100 กว่าใบต่อวัน และตั้งเป้ายอดขายบัตรนี้ประมาณ 5,000 ใบในช่วงปีแรก และปีที่สองตั้งเป้ายอดขายอีก 5,000 ใบ และคาดหวังว่าเมื่อมีบัตรนี้แล้วจะช่วยเพิ่มยอดขายและเพิ่มปริมาณคนเข้าร้านได้อีก 10%

นางนิรมลกล่าวว่า ผลประกอบการของดิโอโร่ในปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 150 กว่าล้านบาท เติบโต 10% ซึ่งสัดส่วนรายได้มาจากเครื่องดื่มมากกว่า 70% และเบเกอรี่ 30% ส่วนราคาสินค้าเครื่องดื่มและอาหารนั้นได้มีการปรับราคาขึ้นประมาณ 7% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบการผลิตสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องปรับราคาบ้าง   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us