|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวขึ้นลงตามทุนต่างชาติมาตลอด ยามใดที่ต่างชาติช้อนซื้อกระดานหุ้นจะแลเห็นสีเขียวเป็นทิวแถว หากเมื่อขายทิ้งสีแดงจะปรากฏชัด แถมด้วยการเจ็บของแมลงเม่านักลงทุนไทย จึงไม่แปลกที่จะพบข้อมูลที่รายงานว่าตลาดหุ้นไทยถูกแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติเป็นอันดับ 3ของภูมิภาคเอเชีย สถานการณ์ที่ปรากฏเช่นนี้สะท้อนภาพว่าการดึงตลาดหุ้นไทยขึ้นจากหลุมต้องพึ่งเม็ดเงินต่างชาติเป็นปัจจัยหลัก
วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์รุนแรงใกล้ตัวและลามมาเร็วกว่าที่คาดกันไว้มาก จากโลกซีกอเมริกาลุกลามไปสู่ยุโรป เข้าถึงเอเชีย และวิ่งต่อไปยังตะวันออกกลาง เรียกว่าวินาทีนี้ทุกส่วนของโลกโดนพิษวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์กันถ้วนหน้า ความเชื่อมโยงถึงกันเหมือนดังปัญหาที่เกิดขึ้นกับตลาดเงินและกระทบถึงตลาดทุน ซึ่งในวันนี้เข้าขั้นวิกฤติหนักไม่แพ้การล้มละลายของสถาบันการเงินหลายแห่งในต่างชาติ อันมีต้นเหตุจากปัญหาซัพไพร์ม
ความจริงนักลงทุนต่างชาติจับสัญญาณได้ถึงปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2551 ต่างชาติเริ่มเทขายหุ้นในภูมิภาคเอเชียทิ้ง เพื่อนำเงินกลับไปพยุงบริษัทแม่ที่ใกล้ล้มละลาย บางส่วนก็นำไปเติมสภาพคล่องกรณีที่เกิดการไถ่ถอนหน่วยลงทุนก่อนกำหนด เพราะความวิตกกังวลในปัญหา เรียกได้ว่าทำทุกวิธีทางเพื่อความอยู่รอด
แต่ในท้ายแล้วการเทขายหุ้นออกไปก็ยังไม่สามารถรั้งชีวิตบางบริษัทได้จนต้อปล่อยให้ล้มละลายไป สำคัญไปกว่านั้นคือ นักลงทุนต่างชาติยังถือครองหุ้นในเอเชียอีกจำนวนไม่น้อย ซึ่งนั่นหมายความว่ายังมีโอกาสที่จะเห็นตลาดหุ้นในเอเชียดิ่งลงได้มากกว่าที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้
นักวิเคราะห์ ให้ข้อมูลว่า สำหรับประเทศไทย นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกมาแล้วถึง 1.4 แสนล้านบาทซึ่งนับเป็นชาติอันดับที่ 3 ของภูมิภาคเอเชียที่มีการเทขายแรงสุด
ความแรงของการเทขายยังมีอย่างต่อเนื่องเพราะความวิตกจากนักลงทุน โดยเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 51 ตลาดหลักทรัพย์หยุดทำการซื้อขายหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวเนื่องด้วยดัชนีราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงจากดัชนีราคาปิดวันทำการก่อนหน้า 43.29 จุด คิดเป็น 10.00% อาศัยอำนาจตามความในข้อ 15 ของข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่อง การซื้อขาย การชำระราคาและการส่งมอบหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2542 ซึ่งกำหนดให้หยุดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเมื่อ
ระดับที่ 1 เมื่อดัชนีราคา SET Index ลดลงเท่ากับหรือมากกว่า 10% ของดัชนีราคาวันทำการก่อนหน้า จะหยุดทำการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหมดเป็นการชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที
ระดับที่ 2 เมื่อดัชนีราคา SET Index ยังคงลดลงจนถึงเท่ากับหรือมากกว่า 20% ของดัชนีราคาวันทำการก่อนหน้า จะหยุดทำการซื้อขายอีกครั้งหนึ่งเป็นเวลา 1 ชั่วโมง
การปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องประกาศใช้เซอร์กิต เบรกเกอร์ เพื่อพักการซื้อขายหุ้นชั่วคราวในช่วงเดือนต.ค.นี้ถึง 2 ครั้ง หลังดัชนีหุ้นไทยร่วงลงแรง 10% ขณะที่นับตั้งแต่เปิดทำการมา ตลาดหลักทรัพย์ใช้เซอร์กิตเบรกเกอร์รวมแล้ว 3 ครั้ง
ครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 ธ.ค.49 ซึ่งดัชนีลดลง 74.06 จุด หรือ 10.14% เป็นผลจากความกังวลที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ประกาศใช้มาตรการสำรอง 30% สำหรับการนำเข้า เงินทุนระยะสั้น ส่วนครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีลดลง 50.08 จุด หรือ 10.02%ซึ่งตลาดหุ้นไทยปรับลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก จากความวิตกภาวะเศรษฐกิจโลก และครั้งที่ 3 เมื่อวานนี้ ดัชนีลดลง 43.29 จุด หรือ 10%
ปัญหาที่สะท้อนออกมาถามว่ารัฐบาลจะช่วยอย่างไร จะมีการจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้นหรือไม่ คำตอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง "สุชาติ ธาดาดำรงเวช"ให้ความกระจ่างแล้วว่าจะไม่ตั้งกองทุนดังกล่าวแน่นอน เพราะจะทำให้กลไกตลาดบิดเบือน
ไม่เพียงเท่านั้นยังมีปัญหาว่า เงินกองทุนพยุงหุ้นที่ว่าจะใช้เม็ดเงินถึง 1.4 แสนล้านบาทจะนำมาจากไหน มี 2 ทางคือเงินจากภาษีประชาชน หรือไม่ก็สถาบันการเงินของรัฐเข้ามาหนุน แน่นอนว่าถ้าจัดตั้งขึ้นคงไม่เป็นการดีแน่ เพราะจะถูกข้อครหาว่าเป็นนโยบายที่ฝนตกไม่ทั่วฟ้าผู้ได้รับประโยชน์มีไม่กี่กลุ่ม ซึ่งโดยมากก็คือกลุ่มนายทุน
เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ เล่าว่า ปัจจัยภายนอกและภายในประเทศล้วนมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เมื่อนักลงทุนเกิดความไม่เชื่อมั่นย่อมทำให้มีการเทขายหุ้น ดังนั้นถ้าจะให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตื่นขึ้นมาได้นั้นจึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน
"แต่มากกว่านั้นสำหรับประเทศไทยจะเห็นได้ว่าการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้นสัมพันธ์กับเม็ดเงินต่างชาติ ทำให้กล่าวได้ว่าการฟื้นคืนตลาสดหุ้นไทยนั้นยังคงก็ต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติเช่นเดิม"
นั่นคือจุดอ่อนที่ทำให้ตลาดทุนไทยแกว่งขึ้นลงอย่างรุนแรง เพราะเมื่อใดที่ทุนต่างชาติถอนกระดานตลาดหุ้นจะกลายเป็นสีแดงเทือก และเมื่อใดเข้าซื้อกระดานหุ้นก็จะกลายเป็นสีเขียว และยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้กล่าวได้เลยว่าคงอีกนานที่ตลาดหุ้นจะตีกลับขึ้นมาได้ถึง 800 จุด เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่อำนวย ถมการเมืองในประเทศก็ยังไม่แน่ชัด
และในมุมลบจากโบรกเกอร์ที่มองว่ารุนแรงสุดนั้นคาดว่ามีโอกาสสูงที่จะเห็นตลาดหุ้นไทยหลุด 300 จุดในช่วงระหว่าง ธันวาคม 2551และ มกราคม 2552
|
|
 |
|
|