สำหรับคนปากน้ำโพ นครสวรรค์แล้วนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่อง…เสียความรู้สึก…สำหรับผู้ประกอบการทั้งภาคกสิกรรม
อุตสาหกรรม โดยเฉพาะในเขตจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือแล้วนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่อง…..การเสียโอกาสครั้งสำคัญ….และสำหรับประชาชนผู้เต็มใจเสียภาษีให้แก่รัฐฯ
ทั่วทั้งประเทสแล้วนั้นเรื่องนี้มันเป็น…. "มรดกเฮงซวย" ที่ไม่อาจพึงอภัยให้ได้เลย
เราต้องจ่ายเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาทเพื่อซื้อบทเรียนความโง่เขลา หรือแสวงหาความชาญฉลากันแน่
แม่น้ำนั้นเป็นตัวแทนของสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ชีวิตของผู้คนทั้งในอดีต ปัจจุบัน
และอนาคตไม่อาจตัดขาดความผูกพันประดามีไปจากแม่น้ำได้ แม้น้ำนั้นเป็นบรรพบุรุษของความอุดมสมบูรณ์ต่าง
ๆ นานาเป็นเส้นเลือดแท้จริงที่เฝ้าหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายให้ปีกกล้าขาแข็ง
ความยาวของแม่น้ำทุกสายในเมืองไทยกว่า 6,000 กม. ไม่เพียงแต่จะเป็นต้นกำเนิดของพืชพันธุ์ธัญญาหาร
ภักษาหาร และมังสาหารที่จำเป็นต่อการดำรงชีพของคนเราเท่านั้น หากแม่น้ำทุกสายยังได้สร้างตำนานความมั่งคั่งให้กับคนรุ่นแล้วรุ่นเล่าอย่างต่อเนื่องโดยไม่ได้ขาดระยะอีกด้วย
จากอดีตสู่ปัจจุบันมิใช่เส้นทางสัญจรการขนส่งทางน้ำ หรือที่เป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
การขนส่งทางน้ำเป็นส่วนสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาขบวนการผลิตสินค้า เพื่อบริการตลาดและธุรกิจการค้าต่าง
ๆ ให้ต่อเนื่อง เส้นทางการขนส่งทางน้ำที่สำคัญส่นใหญ่จะอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำภาคกลางอย่างแม่น้ำเจ้าพระยา
ปิง วัง ยม และน่าน ซึ่งทำหน้าที่เป็นสายธารเชื่อมโยงผลผลิตและสินค้าต่าง
ๆ ของไทยให้ก้าวไปสู่ตลาดโลก
แต่…น่าเสียดายที่หลาย ๆ คนมองข้ามความศักดิ์สิทธิ์ของแม่น้ำเหล่านี้ไปเสีย
" ปีเต็ม ๆ กับการปล่อยให้ความเป็นจริงเป็นเพียงความฝันที่น่าน้อยใจแม้จะยอมรับกัน
"
ว่าระบบการขนส่งทางน้ำ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมาก ทว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่รัฐบาลที่มีภาระหน้าที่รับผิดชอบเพิ่งมาเริ่มคิดได้ก็ราว
ๆ ปี 2526 หรือในช่วงเริ่มต้นของแผนพัฒนาฯฉบับที่ 5 โดยก่อนหน้านี้นับตั้งแต่ปี
2501 ของแผนพัฒนาฯฉบับที่ 1 จนถึงแผนพัฒนาฉบับที่ 4 ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนเอาใจใส่ต่อเรื่องนี้อย่างจริงจัง
และที่น่าตกใจมากไปกว่านี้อีกก็คืออากาฉุกคิดขึ้นมาได้นี้เป็นเพราะถูกกดดันจาก
ธนาคารโลกที่ไม่อยากเห็นประเทศไทยต้องทิ้งสิ่งดี ๆ มีคุณค่าเหล่านี้ไปอย่างไร้ความหมาย
โดยเฉพาะในยามที่การลงุทนด้านสาธารณูปโภคเพื่อการเศรษฐกิจกำลังเป็นโครงการที่จำ
เป็นต่อการพัฒนาการเติบโตของเศรษฐกิจในอัตราร้อยละ 7-8 ต่อปี
ปี 2505 ธนาคารโลกโดยคณะอนุกรรมการการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ (INLAND WATER
WAYS SUBCOMITTEE) ได้เสนอให้ประเทศไทยหันมาให้ความสนใจการขนส่งทางน้ำ เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีแม่น้ำลำคลองมากและความยาวหลายสาย
ซึ่งถ้าปรับปรุงให้ดีแล้วจะก่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก
จากนั้นกรมเจ้าท่าที่เป็นผู้ดูแลเรื่องนี้โดยตรงได้เริ่มศึกษาสำรวจเก็บข้อมูลของสินค้าในการขนส่งทางน้ำเป็นเวลา
2 ปี ตั้งแต่ปี 2506 เพื่อดูปริมาณการใช้ และได้สำรวจถึงความลึกน้ำเจ้าพระยาโดยขุดให้มีความลึก
2 เมตรในฤดูแล้ง และจัดวางเครื่องหมายเดินเรือเพื่อการขนส่งขนาดย่อม
แต่เรื่องนี้ถูกทิ้งไม่ได้รับการพิจารณาโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ ชี้แจง
จนถึงเมื่อปี 2513-14 กรมเจ้าท่าได้เก็บข้อมูลต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่งเพื่อปรับปรุงแม่น้ำเจ้าพระยา
แต่การณ์ยังคงเหมือนครั้งที่แล้วที่ "ถูกมองข้าม" ไม่ได้รับการพิจารณาเช่นเคย
ความไม่อนาทรร้อนใจของรัฐบาลไทยสมัยนั้นในเรื่องนี้ทำให้ธนาคารโลกเป้นเดือดเป็นแค้นอย่างมากถึงกับวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลไทยสมัยนั้นว่า
"ไม่เอาไหน" เพราะนอกจากจะทอดทิ้งการขนส่งทางน้ำแล้วการตั้งงบประมาณด้านนี้ยังให้แค่
10 ล้านบาทในขณะที่กรมขนส่งอื่น ๆ ตั้งงบไว้เป็นพันล้าน เช่นกรมทางหลวง เป็นต้น
กระทั่งถึงปี 2516 ภายหลังเกิดวิกฤติการณ์ราคาน้ำมันแพง การขนส่งทางน้ำจึงเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นทั้งนี้เป็นเพราะอัตราค่าขนส่งทางน้ำเปรียบเทียบแลวราคาถูกกว่าขนส่งทางบกถึง
6 เท่าตัว รวมถึงปริมาณการขนส่งแต่ละเที่ยวก็มากกว่าด้วย ในที่สุดการพัฒนาด้านนัจึงได้รับการบรรจุเป็นนโยบายในแผนพัฒนาฯฉบับที่
3 เมื่อปี 2517
ปี 2518 กรมเจ้าท่าเสนอขอความช่วยเหลือไปยังประเทศฝรั่งเศส ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้มากเป็นพิเศษมากให้มาสำรวจและวางแผนแม่บทให้
ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสได้จัดส่งบริษัทวิศวกรที่ปรึกษา BECOM มาดำเนินการศึกษา
และได้สรุปว่าแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำน่านมีศักยภาพสูงสุดต่อการพัฒนาให้ได้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
ปี 2519 บริษัทที่ปรึกษา BECOM กลับมาสำรวจเพิ่มเติมระยะที่ 2 และได้สรุปว่าการปรับปรุงเส้นทางการขนส่งทางน้ำ
จะต้องเป็นระยะ โดยปรับปรุงการขนส่งทางน้ำจะต้องเป็นระยะ โดยปรับปรุงร่องน้ำเจ้าพระยาช่วงใต้เขื่อนเจ้าพระยาที่
จ.ชัยนาทให้ลึก 1.4 เมตร และเหนือเขื่อนให้ลึก 2 เมตรจนถึง จ.นครสวรรค์ และสร้างท่าเรือที่
จ.นครสวรรค์ จากนั้นก็ปรับปรุงร่องน้ำน่านให้ลึก 1.4 เมตร และสร้างท่าเรือที่
อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร
ปี 2521 กรมเจ้าท่าได้รับเงินกู้จำนวนหนึ่งจากธนาคารโลกในการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาสำรวจผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่อการพัฒนาการขนส่งทางน้ำพบว่า
ในระยะ 25 ปีข้างหน้าหากไม่มีการพัฒนาการขนส่งทางน้ำแล้ว ปริมาณการขนส่งสินค้าทางน้ำระหว่างกรุงเทพฯกับจังหวัดภาคกลางและภาคเหนือในปี
2533 จะมีเพียง 658,000 ตันปี 2538 มีเพียง 660,000 ตัน และในปี 2543 มีเพียง
18,098,000 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 5 ของปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งหมดเท่านั้น
แต่ถ้ามีการพัฒนาการขนส่งทางน้ำ คาดว่าจะมีปริมาณการขนส่งสินค้าทางน้ำในปี
2533 สูงถึง 2,990,000 ตัน ปี 2538 เป็น 3,949,000 ตัน และปี 2543 จะเพิ่มสูงขึ้น
4,970,000 ตัน หรือคิดเป็นร้อยละ 27 ของปริมาณการขนส่งทั้งหมด ทั้งยังประหยัดเงินค่าขนส่งได้ถึงปีละ
400 ล้านบาทเป็นอย่างน้อย เนื่องจากคิดจากอัตราค่าขนส่ง ประสิทธิภาพการขนส่งแล้วนั้นเชื่อว่าคนจะหันมาสนใจขนส่งทางน้ำมากกว่าทางบกแน่นอน
จากสมมติฐานดังกล่าวยังจะเป็นส่วนสนับสนุนส่งเสริมให้สินค้าไทยตีตลาดโลกได้ง่ายดายขึ้น
เพราะต้นทุนขนส่งสินค้าเกษตร (ทางน้ำ) ที่ส่งออกสู่ตลาดโลก เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดต้นทุนการส่งออกสินค้าเกษตรเทียบกับทางบกลงได้นับ
30% ซึ่งในยามที่ตลาดสินค้าเกษตรของโลกอยู่ในภาวะที่เป็นของผู้อื่น ปัจจัยต้นทุนขนส่งนี้จะช่วยปรับให้ผู้ส่งออกสามารถรับภาระการแข่งขันด้านราคาลงได้
โดยไม่มีผลกระทบต่อราคาพืชผลของเกษตรกรมากนัก
ย้อนหลังไปเมื่อสิบกว่าปีก่อนหัวใจของทุก ๆ คนเต้นตุ๊บ ๆ ด้วยความหวังที่ท่วมท้น….ถ้าเป็นจริง….
ภายหลังจากการสำรวจทางธนาคารโลกได้เสนอให้มีการจัดสร้างท่าเรือขึ้นทั้งที่
จ.นครสวรรค์ และที่อ.ตะพานหิน จ.พิจิตรพร้อมกับขุดลอกร่องน้ำเจ้าพระยาและน่านโดยประมาณค่าใช้จ่ายในขณะนั้นไว้
1,220 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินงบประมาณ 322 ล้านบาท เงินกู้จากธนาคารโลก 898
ล้านบาท ใช้เวลาดำเนินการ 4 ปีซึ่งกรมเจ้าท่านำเรื่องเสนอกระทรวงคมนาคมเมื่อ
15 เมษายน 2523 โดยเห็นชอบในหลักการจึงนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อ 24 เมษายน
2532 ครม.เองก็ไม่ละล้าละลังที่จะอนุมัติตามที่กรมเจ้าท่าเสนอมาทุกประการ
รับและส่งเรื่องกันรวดเร็วอย่างนี้ยิ่งเพิ่มพูนความหวังที่จะเป็นจริงมากยิ่งขึ้น…
สำหรับรายละเอียดการพัฒนาการขนส่งทางน้ำในลำน้ำเจ้าพระยาและลำน้ำน่านาแบ่งได้ดังนี้
1. สร้างเรือลำเลียง (BOVGE) แบบ BAS 4 ลำ แบ่งเป็นเรือลำเลียงสินค้าแห้ง
และเรือลำเลียงสินค้าเหลว อย่างละ 2 ลำ เรือลำเลียงสินค้าแห้งมีความยาว 45
เมตรบรรทุกเต็มที่ 700 ตัน ส่วนเรือลำเลียงสินค้าเหลวก็มีขนาดความยาวและน้ำหนักบรรทุกใกล้เคียงกันนอกจากนี้ยังมีเรือกลดัน
(PUSH TOW BOAT) แบบ F 500 อีก 1 ลำ
2. การปรับปรุงร่องน้ำเดินเรือ เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแบบแผนการขนส่งจากระบบลากจูงที่นิยมใช้กันมาในอดีต
มาสู่ระบบใหม่ด้วยเรือดันแบบยุโรปจึงต้องมีการปรับปรุงร่องน้ำเสียใหม่ตามแผนจะต้องขุดลอกร่องน้ำให้มีระดับความลึกโดยเฉลี่ย
1.7 เมตร และความกว้างของร่องน้ำเมื่อน้ำลงต่ำสุดประมาณ 40 เมตร เพื่อทำให้เรือลำเลียงสามารถเดินทางได้ตลอดปีซึ่งตามแผนงานปรับปรุงน้ำจะแล้วเสร้จในเดือนเมษายน
2528
ถ้าเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการขนส่งจากนครสวรรค์ถึงกรุงเทพฯ ระหว่างรถยนต์รถไฟ
และเรือ จะพบว่าค่าขนส่งทางเรือต่ำที่สุดประมาณ 0.30 บาท/ตัน/กม. รองลงมาคือรถไฟและรถยนต์
ประมาณ บาท/ตัน/กม. และ 0.458 บาท / ตัน / กม. ซึ่งเมื่อพัฒนามาขนส่งด้วยเรือเหล็กแบบใหม่ค่าใช้จ่ายจะลดจาก
0.30 บาท เหลือเพียง 0.19 บาท
อะไร ๆ ก็ดูดีไปหมด…..แต่แล้วก้ไม่รู้เพราะเหตุผลกลใดความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือและปรับปรุงร่องน้ำเจ้าพระยาและน่านกลับมีอันเงียบหายไปเสียเฉย
ๆ เป็นเวลา 2 ปี
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2525 กรมเจ้าท่าจึงได้ว่าจ้างบริษัทอิตาเลียนไทย
ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอร์เรชั่น ของหมอชัยยุทธ กรรณสูต ในวงเงิน 492,353 705
บาท เพื่อขุดลอกและปรับปรุงแม่น้ำเจ้าพระจาจากกรุงเทพฯถึงนครสวรรค์ให้ร่องน้ำลึก
1.7 เมตร กว้าง 40 เมตร พร้อมกับว่าจ้างบริษัทอิตาเลียนไทยฯสร้างสถานีขนส่งทางน้ำ
(ท่าเรือ) ที่นครสวรรค์อีกในวงเงิน 143,360,200 บาท เมื่อวันที่ 15 มกราคม
2530
งานนี้อิตาเลียนไทยฯจะผูกขาดทั้งขึ้นทั้งล่อง
แต่อิตาเลียนไทยฯและกรมเจ้าท่าฯก็ต้องเจอกับอุปสรรคปัญหาเรื่องที่ดินเข้าอย่างจัง
เพราะหลังจากที่มีข่าวการพัฒนาการขนส่งทางน้ำที่จะแปรเปลี่ยนจ.นครสวรรค์
ให้กลายเป็นเมืองหลักของภาคกลางและภาคเหนือก็เลยก่อให้เกิดกระแสการกว้านซื้อที่ดินเพื่อป่วนราคากันอย่างสนุกสนานกว่าจะเคลียร์กันได้ก็เล่นเอากระอักเลือด
งานพัฒนาการขนส่งทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่านทั้งในส่วนของการปรับปรุงร่องน้ำและการก่อสร้างท่าเรือลำน้ำลุล่วงมาด้วยดีระดับหนึ่ง
แต่ไม่อาจบรรลุความใฝ่ฝันอย่างสมบูรณ์แบบตามที่หมายมั่นตั้งใจเอาไว้ไดเมื่อปรากฎว่า
1. ท่าเรือลำน้ำที่จะเป็นสถานีขนส่งซึ่งสร้างเสร็จแล้วในเนื้อที่ 100 กว่าไร่ริแม่น้ำเจ้าพระยา
จ.นครสวรรค์ ต้องกลายเป็น "ท่าเรือร้าง" ไม่มีใครสนใจเข้าไปบริหาร
เพราะทุกคนสรุปเป็นเสียงเดียวกันว่าเข้าไปก็ "เจ๊ง"
นี่มันอะไรกันนักหนา
2. ร่องน้ำเจ้าพระยาที่วาดหวังกันว่าภายหลังการปรับปรุงให้มีความลึก 1.7
เมตรจะสามารถเดินเรือได้ตลอดทั้งปี ต้องมีอันพลิกผันจากหน้ามือแทบจะเป็นหลังเท้าไปเลยทีเดียว
เมื่อปรากฎว่าในทางปฏิบัติที่เป็นจริงหาคนเชื่อมั่นได้ยากเสียเหลือเกินว่าจะ
"เดินเรือ" ได้ตลอดทั้งปี และที่ผ่านามีเรือหลายลำของโรงงานน้ำตาลต้องคว่ำระหว่างทางเสียหายหลายสิบล้านบาท
นี่มันอะไรกันนักหนา
"กรมเจ้าท่าดีแค่คุยเชื่อบริษัทที่ปรึกษาไปเสียทั้งหมดโดยไม่ดูสภาพความเป็นจริงของแม่น้ำเจ้าพระาว่าจะทำอย่างนั้นได้หรือไม่
ล่องไปมันก็ล่มอีกล่มอีกผมก็อยากจะรู้เหมือนกันวาจะมีใครมาสนใจรวมไปถึงการบริหารท่าเรือด้วยเพราะเมื่อไม่มีเรือก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว"
กันธุรกิจ จ.นครสวรรค์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
สำหรับการบริหารท่าเรือลำน้ำนครสวรรค์ทางกรมเจ้าท่าและกรมธนารักษ์ได้เปิดให้เอกชนที่มีความสนใจเข้าไปริหารโดยมีเงื่อนไขว่า
ขอคิดค่าเช่าที่ราชพัสดุพื้นที่ 107 ไว้ใน 5 ปีแรกเดือนละ 78,110 บาทบวกร้อยละ
2/ปี ของรายได้ทั้งหมดของสถานี และทุกระยะ 5 ปีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ของอัตราเดิมคิดค่าธรรมเนียม
1.874,640 บาท เป็นเวลา 20 ปี ซึ่งต่อมาภายหลังได้เพิ่มค่าเช่าเป็น 84,510
บาท/เดือนละค่าธรรมเนียมเป็น 2,028,240 บาท
อัตราค่าเช่านี้นักลงทุนต่างพากันส่ายหัวว่า "โหลดบริสุทธิ์"
สิ้นดี
แม้แต่เทศบาลนครสวรรค์ที่ถูกขอร้องให้เข้ามารับช่วงบริหารหากไม่มีนักลงทุนรายใดสนใจก็แทบจะร้องออกมาว่า
"ไม่มีสิทธิ์ได้มั้ย
"จะทำได้ยังไงเดือนหนึ่ง ๆ ค่าใช้จ่ายของตัวสถานีสูงถึง 2 แสนบาท ถึงเดี๋ยวนี้ทางกรมเจ้าท่าก็ยังไม่อาจให้ความมั่นใจได้เลยว่าเรือจะสามารถเดินได้ตามที่วางแผนไว้หรือเปล่า
ตอนแรกมีข่าวว่าทางเตีกเฮงหยูสนใจที่จะเข้ามาบริหารแต่เมื่อดูเงื่อนไขแล้วก็ส่ายหน้าหนี
ผมว่าปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขคือทำยังไงถึงจะให้เรือมันเดินล่อได้ทั้งปีก่อน"
แหล่งข่าวกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ปัญหาเรื่องเงื่อนไขการบริหารท่าเรืออาจไม่รุนแรงเท่าไรนัก เพราะยังไงก็เชื่อว่าถ้ามีการเดินเรือได้
โดยไม่มีอุปสรรคใดแล้วจำนวนกองเรือที่จะวิ่งล่อง 130 กว่ากองเรือ ๆ ละ 68
เที่ยว/ปี ก็ยังสามารถที่จะทำกำไรได้พอสมควร
แต่ถ้าไม่มีเรือวิ่งเพราะร่องน้ำมีปัญหาก็หมดสิทธิ์ที่จะไปเพ้อฝันหาวิมานอะไรกัน
ปัญหาร่องน้ำเจ้าพระยาไม่เป็นไปตามโครงสร้างที่กำหนดเอาไว้นับเป็นปัญหาใหญ่หลวงที่สุดและเป็นเครื่องชี้ชะตาว่าท่าเรือลำน้ำที่ลงทุนไปแล้วนับพันล้านบาทจะเป็น
ทารกที่เลี้ยงไม่รู้จักโต" คอยแทะเล็มงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่
เดิมทีเดียวการขุดลอกร่องน้ำเจ้าพระยาจากช่วง จ.นครสวรรค์ถึงกรุงเทพฯกำหนดไว้ว่าร่อง้ำลึก
1.7 เมตรเรือจึงจะสามารถเดินได้สะดวก ทว่าผลที่ออกมาปรากฎว่ามีอยู่หลายจุดในช่วงตั้งแต่เขื่อนเจ้าพระยาลงมาถึง
จ.สิงห์บุรีเช่นย่านมัทรี บางปราบ บางไก่เถื่อน โพธิ์นางดำ ร่องน้ำไม่ถึง
1.7 เมตรและบางจุดแทบจะไม่มีร่องน้ำให้เรือเดินได้เลย
วิศวกรกรมชลประทานท่านหนึ่งให้ความเห็นกับ "ผู้จัดการ" ว่า "เรื่องนี้ทางกรมชลประทาทนก็ได้เคยแจ้งกับกรมเจ้าท่าแล้วว่าการขุดลอกร่องน้ำมันจะต้องมีปัญหาแน่นอน
แต่ทางกรมเจ้าท่าก็ดื้อดึงเชื่อตามบริษัทที่ปรึกษาพอเกิดปัญหาก็จะขอให้กรมชลฯช่วยในเรื่องปล่อยน้ำโดยไม่ดูว่าเราเองก็มีภาระที่จะต้องเก็บน้ำเพื่อการกสิกรรมอยู่"
ความผิดพลาดในเรื่องร่องน้ำน่าจะอยู่ตรงที่ว่าลักษณะของท้องน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาส่วนใหญ่เป็นดินทรายที่ว่าเมื่อมีการขุดลอกร่องน้ำแล้วทรายก็จะไหลมากองอยู่ใต้ท้องน้ำเหมือนเดิม
กอปรกับแม่น้ำเจ้าพระยามีความตื้นเขินมากขึ้นทุกวันดังนั้นปัญหานี้แทบจะไม่มีโอกาสสลัดพ้นไปได้เลย
งบประมาณที่เทลงไปแล้วกว่าพันล้านบาทก็เลยเป็นเรื่องของการเทงบละลายแม่น้ำเล่น
ปัญหานี้ทางกรมเจ้าท่าที่เป็นพระเอกมาตั้งแต่ต้นไม่มีทางที่จะปฏิเสธความผิดพลาดไปได้
ซึ่งพยายามที่จะหาทางแก้ไขด้วยการสั่งเรือขุดทรายอีก 3 ลำเพื่อขุดทรายบริเวณที่มีปัญหา
แต่นั่นก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาให้ตกลงไปได้ เนื่องจากจะต้องใช้จ่ายงบเพื่องานนี้เพิ่มขึ้นทุกปี
จะดีไปก็พวกเรือดูดทรายที่มีงานหาเงินใช้กันได้ตลอดทั้งปี
"การขุดลอกจากชัยนาทลงมานั้นพื้นดินในท้องน้ำส่วนใหญ่เป้นทราย เรือขุดจะมีกี่ลำหรือจะขุดกันไปตลอดทั้งปี
หรือหลาย ๆ ปีก็ขุดไปเถอะ ขุดไปแล้วยังไปไม่สุดสายตาทางนี้ก็ตื้นอีกแล้ว
มันเอาชนะกันไม่ได้เป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ" วรพจน์ ด่านชัยวิจิตร
ประธานหอการค้า จ.อยุธยา กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
คำกล่าวของวรพจน์ไม่เกินเลยความเป็นจริงเพราะสภาพดินในท้องน้ำเจ้าพระยาส่วนใหญ่เป็นดินทรายซึ่งถ้าจะขุดก็ต้องขุดกันตลอดไป
มันเป็นโครงการที่ถมกันไม่รู้จักเต็มซึ่งถ้าจะย้อนกลับไปมองแผนการศึกษาแต่แรกเริ่มดูเหมือนว่ากรมเจ้าท่าที่เชื่อบริษัทที่ปรึกษา
BECOM อย่างสนิทใจนั้นหลงลืมหรือแกล้งลืมปัญหานี้โดยเจตนาอย่างไรกันแน่
19 มกราคม 2532 ดูจะเป็นความพยายามตั้งใจของกรมเจ้าท่าและรมช.อเนก ทับสุวรรณ
ที่จะสร้างความเชื่อมั่นในเกิดขึ้นว่า "ไม่มีอุปสรรคใดในการล่อเรือ"
ด้วยการจัดขบวนเรือลำเลียงและเรือดันตามแบบมาโชว์ แต่ดูเหมือนกรรมยังติดตัวเพราะว่าขนาดตั้งใจโชว์เรือก็ยังไปติดแหง่กอยู่แถวอ่างทอง
สิงห์บุรี ตั้งนานสองนาน
เล่นเอารายการโชว์เที่ยวนี้หน้าแตกหมอไม่รับเย็บเลยทีเดียว
"มันมีอะไรพิกล ๆ พอรู้ว่าวันนี้จะมีการล่องเรือโชว์ ทางเขื่อนภูมิพลก็ปล่อยน้ำมากขึ้นกว่าเดิมอีก
20% ซึ่งแต่ก่อนระหว่างกรมเจ้าท่ากับเขื่อนภูมิพลก็มีอะไร ๆ กันอยู่ เพราะปกติแล้วเขื่อนภูมิพลจะเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในกิจการของเขื่อน"
วีรกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ บอกกับ "ผู้จัดการ"
นอกจากปัญหาร่องน้ำไม่ลึกเป็นใจให้แล้ว ปัญหาเรื่องระดับน้ำก็เป็ปัญหาใหญ่ไม่ยิ่งหน่อนไปกว่ากันนัก
เพราะในสภาพการณ์ปัจจุบันระดับน้ำที่มีอยู่เพียงพอกับการล่องเรืออย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน
5 เดือนและเป็น 5 เดือนที่ไม่ใช่ฤดูที่สินค้าส่วนใหญ่ผลิตออกสู่ท้องตลาดอีกด้วย
ซึ่งภาวะเช่นนี้ขัดแย้งกับแผนการที่ร่างเอาไว้ลิบลับโดยที่ต้องเป็นเช่นนี้
เพราะระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ช่วงท้ายเขื่อนลงมามีไม่เพียงพอต่อการเดินเรือในหน้าแล้ง
เพราะเขื่อนเจ้าพระยาสามารถปล่อยน้ำออกมาประมาณ 70 ลบ.ม. / วินาทีเพื่อการเกษตรกรรมเท่านั้นไม่อาจเร่งปริมาณการปล่อยน้ำออกไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
เพราะอาจเกิดปัญหาต่อการเพาะปลูกพืชไร่ได้
"ปัญหานี้มันสุดวิสัยจริง ๆ อย่าว่าแต่กรมชลฯที่ต้องเก็บน้ำในหน้าแล้งเอาไว้แม้แต่ทางเขื่อนยังฮีเองก็ใช่ว่าจะเต็มใจปล่อยน้ำออกมาให้เท่าไรนักเพราะเขาก็ต้องเก็บน้ำไว้ผลิตกระแสไฟ
ความไม่ประสานงานกันในเรื่องนี้ทางกรมเจ้าท่านั้นแหละที่ต้องรับผิดชอบมากที่สุด
เพราะตั้งแต่แรกแล้วที่ไม่มีการขอคำปรึกษาจากหน่วยงานที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ยกตัวอย่างง่าย ๆ การสร้างทางรถไฟจากท่าเรือฯไปเชื่อมกับทางรถไฟของการรถไฟที่นครสวรรค์ก็ยังสร้างผิดแบบจนทางการรถำฟไม่ยอมให้เชื่อมต้องมีการแก้ไขสิ้นงบไปโยไม่จำเป็นอีกหลายล้านบาท"
นายช่างกรมชลประทานที่ดูแลเรื่องนี้บอกกับ "ผู้จัดการ" ด้วยความเอือมระอากับระบบงานราชการไทยไม่เคยมีอะไรประสานงานโครงการกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เขื่อนเจ้าพระยามีระดับธรณีประตูอยู่ที่ระดับ 4.60 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลางแต่กรมชลประทานเจ้าของเขื่อนฯ
จะต้องรักษาระดับน้ำด้านท้ายเขื่อนไว้ไม่ต่ำกว่า 6.80 เมตร ทั้งนี้เพื่อที่จะให้มีปริมาณน้ำ
80 ลบ.ม./วินาทีที่จะต้องส่งไปในแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อไปทำการผลักดันน้ำเค็มเพื่อทำการประปาทำการอุปโภคบริโภคในกรุงเทพฯ
ดังนั้นระดับน้ำท้ายเขื่อนจะมีระดับสูงกว่าธรณีประตูถึง 2.20 เมตรซึ่งไม่เป็นปัญหาต่อเรือที่บรรทุกน้ำหนักกินน้ำลึกไม่เกิน
2.20 เมตรในหน้าน้ำซึ่งสามารถควบคุมระดับน้ำเอาไว้ได้
แต่นั่นไม่ใช่ภาวะวิสัยที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ในหน้าแล้ง ก็เลยเป็นกรรมของการขนส่งไปโดยปริยาย
ตัวเขื่อนชัยนาทหรือเขื่อนเจ้าพระยาเองก็เป็นปัญหาใหญ่ในการเดินเรืออย่างมากในหน้าแล้งเพราะระดับน้ำเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนไม่เท่ากัน
เมื่อน้ำน้อนคานประตูเขื่อนจะโผล่พ้นน้ำขึ้นมาทำให้เรือครูดไปกับคานประตูทำให้ผ่านไปได้ยาก
และเมื่อผ่านมาแล้วก็ต้องชนกับหินโสโภครกที่ทิ้งอยู่หน้าเขื่อน ทำให้เรือจมซึ่งเหตุการณ์อย่างนี้ได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อมีเรือบรรทุกสินค้าคว่ำถึง
4 ลำติดต่อกัน
ความผิดและความเสียหายที่อุบัติขึ้นนี้ถามหน่อยเถอะว่า ใครจะกล้าหาญออกมารับผิดชอบ
"ตอนแรกเมื่อมีการพูดถึงท่าเรือลำน้ำและการพัฒนาการขนส่งทางน้ำเจ้าพระยาก็มีหลายริษัทที่มาซื้อที่ดินริมน้ำเจ้าพระยาช่วงนครสวรรค์
อ่างทองเพื่อเตรียมทำคลังสินค้าหรือโรงงาน เพราะหากโครงการนี้เป็นจริงการขนส่งสินค้าก็จะไม่ต้องผ่านเข้ากรุงเทพฯอีกต่อไป
สินค้าจะทะลุออกไปยังอ่าวไทยเลยซึ่งเป็นการประหยัดงบค่าขนส่งได้อีกมาก แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าไม่มีเอกชนรายไหนพอที่จะมีความหวังกับโครงการที่สิ้นงบไปนับพันล้านอย่างนี้อีกแล้ว"
แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ยามนี้ไม่เพียงแต่คนปากน้ำโพ นครสวรรค์เท่านั้นที่ไม่นึกถึงความหวังลม ๆ
แล้ง ๆ ทั้งโดยตรงและผลพวงต่อเนื่องจากท่าเรือน้ำลำน้ำเจ้าพระยาอีกแล้ว ผู้คนนักประกอบการทั้งภาคกสิกรรม
อุตสาหกรรมทั่วทั้งภาคกลางและภาคเหนือก็พลอยเกิดอารมณ์หดหู่ตามไปด้วย
ท่าเรือลำน้ำเจ้าพระยาสิ้นไร้ไม้ตอกหมดหนทางจริง ๆ หรือ
"ภาวะอาการลูกผีลูกคนอย่างนี้ขืนทุ่มตัวลงไปก็มีแต่เจ๊งลูกเดียว อย่างเรื่องการบริหารท่าเรือที่จะให้เทศบาลนครสวรรค์รับผิดชอบดู
ๆ แล้วก็เป็นการปัดสวะหากระดูกมาให้แขวน คิดดูก็แล้วกันป่านนี้ยังหาเอกชนสนใจไม่ได้ก็แสดงว่ามันไม่ไหวจริง
ๆ แล้ว" นักธุรกิจหลายรายของนครสวรรค์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
โดยความเห็นเหมือนกัน
"ขณะนี้กรมเจ้าท่ากำลังต่อสู้กับธรรมชาติการตื้นเขินของร่องน้ำจะมีการขุดลอกตลอดเวลา
ส่วนจะขุดมากน้อยแค่ไหนบอกได้ยาก แต่ความเจริญทางด้านอุตสาหกรรมที่มากขึ้นทางเราก็พยายามที่จะปรับปรุงร่องน้ำให้ดีขึ้นก็ได้มีการสำรวจแม่น้ำป่าสักท่าจีน
และแม่กลองเพิ่มแล้ว" เรือเอกชิตอ่องสุวรรณ รน.อธิบดีกรมเจ้าท่ากล่าวยอมรับความผิดพลาดแต่ก็ไม่วายที่จะมีความหวังกับมันอีกในลำน้ำอื่น
ๆ
กำนันทรง องค์ชัยวัฒนะ กำนันคนดังปากน้ำโพเจ้าของข้าวชื่อดังที่ผูกพันอยู่กับการขนส่งทางน้ำมานานปีให้ความเห็นกับ
"ผู้จัดการ" ว่า ทางแก้ปัญหาของการขนส่งลำน้ำเจ้าพระยานั้นมีทางเดียวก็คือจะต้องจัดสร้างเขื่อนเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย
2-3 จุดในเขต จ.อ่างทอง สิงห์บุรี เพื่อกักเก็บน้ำในการขนส่งไว้ให้ได้ทั้งปีซึ่งไม่มีวิธีไหนจะดีไปกว่านี้อีกแล้วแม้ว่าจะต้องลงทุนกันอีกเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาทก็ตาม
"ก็ทำมันขึ้นมาแล้วหมดไปหลายพันล้านแล้วจะปล่อยให้มันอยู่อยางนี้ หรือผมว่าเอามันให้อยู่รอดดีกว่า
เพราะการขนส่งทางน้ำโดยเฉพาะลำน้ำเจ้าพระยานั้นมีความจำเป็นอย่างมากต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต"
กำนันทรงกล่าว
"ผู้จัดการ" อยากเปรียบเทียบการขนส่งทางน้ำกับทางบกถึงความได้เปรียบให้เห็นอีกครั้งว่า
เรือบรรทุกสินค้า 1 ลำที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้สามารถรับน้ำหนักได้ถึง
1,000 ตันโดยใช้เงินลงทุนเพียง 2 ล้านบาท ขณะที่รถบรรทุก 1 คันตกคันละ 1
ล้านบาทเป็นอย่างน้อยหากจะบรรทุกน้ำหนักให้ได้ถึง 1,000 ตันจะต้องใช้รถเป็นจำนวนมากถึง
70 คัน ซึ่งปัจจุบันนี้เราต้องสั่งรถบรรทุกเข้ามาถึงปีละ 7,000 คันหรือ 7,000
ล้านบาท ดังนั้นการขนส่งทางน้ำจะช่วยประหยัดดุลการค้าได้ปีหนึ่ง ๆ ร่วมหมื่นล้านบาไม่รวมถึงการมีส่วนช่วยให้สินค้าจากไทยราคาถูกลง
พอที่จะสู้กับคู่แข่งขันในตลาดโลกได้โดยเฉพาะพวกพืชไร่ที่จังหวัดภาคกลางและจังหวัดภาคเหนือเป็นพื้นที่สำคัญในการผลิต
การขนส่งทางน้ำจึงมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่รอด
อุตสาหกรรมต่อเนื่องจากโครงการขนส่งทางน้ำนอกจากอุตสาหกรรมการต่อเรือที่เห็นได้ชัดแล้วก็ยังมีอีกหลายอุตสาหกรรมที่หวังพึ่งพิงการขนส่งทางน้ำจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นความเจริญเติบโต
อาทิ
อุตสาหกรรมไซโลอบพืชไร่ หรือคลังเก็บรักษาพืชไร่ต่าง ๆ โดยเฉพาะข้าวโพดที่ปลูกกันมากในเขตภาคเหนือซึ่งข้าวโพดที่ปลูกกันมากในเขตภาคเหนือซึ่งข้าวโพดเหล่านั้นส่วนหนึ่งจะส่งไปใช้ในโรงงานอาหารสัตว์
และอีกส่วนหนึ่งส่งผ่านเข้าตลาดกลางในกรุงเทพฯ เพื่อทำการส่งอกซึ่งประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่รายหนึ่งของโลก
แต่เป็นเรื่องประหลาดแท้ที่เรามีไซโลเก็บรักษาพืชไร่เพื่อป้องกันควบคุมความเสียหายในเขตภาคเหนือเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ที่ อ.ตากฟ้า จ.นครสวรรค์ และสามารถอบข้าวโพดได้เพียง 0.2% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด
คิดดูก็แล้วกันว่ากว่าที่ข้าวโพดจะถูกส่งมาถึงไซโลในเขต จ.อยุธยา และเข้าโกดังรอการส่งออกที่กรุงเทพฯเราต้องสูญเสียผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐานไปมากน้อยเพียงไร
นี่จึงเป็นข้อจำกัดประการหนึ่งที่ทำให้ข้าวโพดไทยเสียเปรียบในตลาดโลก
หากพิจารณาถึงภูมิพื้นที่ความพร้อมต่าง ๆ แล้วบริเวณ จ.นครสวรรค์ ควรจะเป็นจุดรวมในการขนส่งสินค้าเกษตรกรรมทั้งหมดไปยังส่วนกลาง
ดังนั้นการตั้งไซโลบริเวณท่าเรือลำน้ำเจ้าพระยาจะก่อให้เกิดความได้เปรียบหลายประการ
อุตสาหกรรมการสีข้าว เดิมทีการขนส่งข้าวจากพื้นที่ผลิตภาคเหนือ - ภาคกลางซึ่งเป็นแหล่งผลิตสำคัญจะถูกลำเลียงมาซื้อขายกันที่ท่าข้าวกำนันทรง
อ.พยุหคีรี และ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ หรือท่าข้าวที่จ.พิษณุโลกก่อนที่จะถูกส่งต่อเข้ากรุงเทพฯด้วยรถบรรทุกที่ต้องแบกน้ำนักแถลบไปด้วย
ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขนส่งค่อนข้างสูงอีก ทั้งทางโรงสีต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสต๊อกข้าวเปลือกด้วย
ระบบการค้าและการขนส่งข้างต้นทำให้ต้นทุนการผลิตสูงโดยไม่จำเป็น ซึ่งหากมาพิจารณาถึงแหล่งเพาะปลูกใหม่ในเขตภาคกลางและภาคเหนือล้วนอยู่ในบริเวณที่สามารถอาศัยการขนส่งทางน้ำได้โดยสะดวกปริมาณผลผลิตกว่า
40% ที่ผลิตได้ในบริเวณี้หากส่งเสริมการตั้งโรงสีข้าวประสิทธิภาพสูงใกล้เคียงกับท่าข้าวและท่าเรือขนส่งทางน้ำจะช่วยลดต้นทุนการผลิตลงได้อีกมาก
ไม่มีใครนึกอิจฉาอะไรหากการขนส่งทางน้ำจะช่วยให้นครสวรรค์กลายเป็น "ศูนย์กลาง"
การส่งออกพืชไร่ระดับต้นเพราะผลที่ได้ตามมาของคนทั้งประเทศนั้นคุ้มเกินคุ้ม
การแก้ไขปัญหาโครงการขนส่งทางน้ำและท่าเรือลำน้ำเจ้าพระยาจึงสมควรที่จะเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องสังคายนากันให้ลุล่วง
เพราะหากปล่อยให้เวลายืดเยื้อยาวนานออกไปมากเท่าใด เราก็จะต้องเสียงบประมาณในการแก้ไขโดยไม่จำเป็นเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ทางเลือกระหว่างการสร้างเขื่อนเพิ่มตามความเห็นของหลาย ๆ คนกับการใช้เรือดูดทรายเพื่อขุดลอกร่องน้ำให้มีความลึก
1.7 เมตรที่กรมเจ้าท่านำมาใช้ดำเนินการจุดที่ควรขบคิดกันมากก็คือ "ทางเลือกไหนจะคุ้มค่ามากกว่ากัน"
"ความไม่แน่นอนของกระแสน้ำเป็นอุปสรรคใหญ่ยิ่ง ถ้าเขื่อนปิดด้วยแล้วล่ะก็รับรองไม่ต้องวิ่งเรือกันเลย
ปัญหานี้นอกจากจะต้องมีการขอร้องทางเขื่อนภูมิพลเป็นกรณีพิเศษแล้วผมว่าควรจะต้องมีการสร้างเขื่อนอีก
1-2 เขื่อนจะดีกว่าใช้เรือขุดลอกคลองที่ต้องทำกันไม่รู้จักสิ้นสุดซึ่งรวมแล้วด้วยซ้ำไป"
วีรกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์กล่าว
การพัฒนาการขนส่งทางน้ำทุกคนยอมรับว่าจะก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดทว่าสิ่งที่บางคนคลางแคลงใจมากอีกประการหนึ่งเห็นจะเป็นเรื่องที่ว่า
"ทำไมจะต้องติดยึดกับแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่านที่มีแต่ปัญหา ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด"
"มันเป็นเรื่องการเมืองของนักการเมืองบางกลุ่มที่มีผลประโยชน์อยู่กับพื้นที่ในเขตจ.นครสวรรค์
และ จ.พิจิตร เรื่องนี้มีการดึงกันไปดึงกันมาหลายปีเพราะมีบางกลุ่มคัดค้านไม่เห็นด้วย
อันที่จริงสามารถพัฒนาในแม่น้ำอื่นได้เช่นกันและดูจะมีปัญหาน้อยกว่าแม่น้ำเจ้าพระยาจริง
ๆ ก็ควรลงมือกันตั้งนานแล้วไม่ใช่เล่นชักเย่อเพื่อหวังดึงราคาที่ดินให้สูงขึ้น
คงจะลืมกันไปว่าแม่น้ำเจ้าพระยานั้นนับวันจะตื้นเขินมากขึ้นทุกทีซึ่งถ้าสร้างท่าเรือให้แล้วเสร้จไปก่อนหน้านี้มีเรือที่จะขึ้น
- ล่องได้ปัญหาเรื่องร่องน้ำตื้นเขินก็คงจะไม่รุนแรงเพราะเรือที่ล่องจะขุดร่องน้ำ
กันไปตลอด บ้าเรามันก็เป็นเสียอย่างงี้แหละเห็นอะไรเป็นประโยชน์นิดหนึ่งก็ต้องหาทางเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้นโดยไม่ใส่ใจว่าบางวิธีการนั้นสร้างความยุ่งยากในภายหลัง"
แหล่งข่าวคนหนึ่งบอกว่า "ผู้จัดการ"
มาดูกันว่าแม่น้ำสายอื่น ๆ สามารถที่จะพัฒนาการขนส่งน้ำให้เกิดขึ้นมาได้หรือไม่
จากสถิติของกรมชลประทานในปี 2530 สรุปว่าในเขตแม่น้ำเจ้าพระยาจากกรุงเทพฯไปนครสวรรค์จะมีเรือล่องขึ้น
15,110 ลำและล่องลงมาถึง จ.ปทุมธานี 3,817 ลำ ขณะที่แม่น้ำท่าจีนมีเรือขึ้น
443 ลำเรือล่องมีจำนวนมากถึง 11,410 ลำ แม่น้ำน้อยมีเรือขึ้น 2,414 ลำ เรือล่อง
3,020 ลำ
จากสถิตินี้จะเห็นว่าการนิยมในการเดินเรือขาล่องที่จะบรรทุกของหนักและกินน้ำลึกมากชาวเรือจะใช้แม่น้ำท่าจีนเป็นทางสัญจรหลักถึง
62% ส่วนตอนเรือขึ้นซึ่งเรือส่วนใหญ่จะเป็นเรือเบากินน้ำตื้นชาวเรือจะเปลี่ยนมาใช้แม่น้ำเจ้าพระยาแทนถึง
83%
คำถามจึงอยู่ที่ว่าทำไมชาวเรือจึงใช้แม่น้ำท่าจีนในขาล่องทั้ง ๆ ที่ระยะทางไกลกว่าแม่น้ำเจ้าพระยามากมายนัก
และทำไมแม่น้ำท่าจีนจึงถูกปล่อยปละละเลยไม่มีใครให้ความสนใจ
"แม่น้ำท่าจีนนั้นกรมชลประทานสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำไว้เป็นแห่ง ๆ เพื่อเก็บกักน้ำไว้ในพื้นที่เพาะปลูกจึงทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำมีความลึกมากเหมาะสมกับเรือที่บรรทุกเกิน
2 เมตร ปัญหาเรื่องกรมชลประทานกำหนดเวลาปิดเปิดประตูน้ำก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะถ้ามีเรือมาก็พร้อมที่จะเปิดให้ได้ตลอด
24 ชม." วรพจน์ ด่านชัยวิจิตรประธานหอการค้า จ.อยุธยา ให้ความเห็น
สำหรับปัญหาเรื่องแม่น้ำท่าจีนไม่ถูกมองเป็น "แม่น้ำหลัก" ในการพัฒนาการขนส่งทางน้ำน่าจะอยู่ที่ความสัมพันธ์กับกระบวนการผลิตของผลผลิตและสินค้าต่าง
ๆ ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่านเป็นสำคัญวึ่งการเน้นพัฒนาแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่านน่าจะทำให้เกิดความคล่องตัวมากกว่ากัน
ซึ่งเมื่อรวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้วย่อมถูกกว่าการขนส่งลงมาทางแม้น้ำท่าจีน
ความผิดพลาดอยู่ตรงที่ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ได้รู้สภาพที่แท้จริงของแม่น้ำเจ้าพระยาว่าเป็นเช่นไร
การไม่รู้จักฐานะแท้จริงของแม่น้ำเจ้าพระยานับเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ระบบงานราชการบ้านเรามีเอกลักษณ์ความไม่เอาไหนอยู่อย่างหนึ่ง เข้าทำนองที่ว่า
"เห็นช้างขี้ขี้ตามช้าง" โดยไม่ใส่ใจศึกษาให้ท่องแท้เสียก่อนว่า
ลักษณะงานบางอย่างนั้นอาจมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในที่หนึ่ง ๆ แต่ไม่อาจนำมาเป็นแบบแผนได้ทุกกระเบียดนิ้วสำหรับปฏิปทาที่แปรเปลี่ยนอยู่เป็นนิจอย่างประเทศไทย
หลากหลายการลงทุนแล้วที่เราทำตัวแบบ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน"
โครงการพัฒนาการขนส่งทางน้ำน่าที่จะเป็นอีกโครงการหนึ่งที่เข้ากับเอกลักษณ์ความไม่เอาไหนอันนี้
ไม่นับรวมถึงปัญหาร่องน้ำเจ้าพระยาตื้นเขิน และระดับน้ำมีไม่พอเพียงต่อการเดินเรือให้สะดวกได้ตลอดทั้งปี
ซึ่งจะต้องสิ้นเปลืองงบประมารแก้ไขปัยญหาที่เกิดขึ้นจากการวางแผนของบริษัทที่ปรึกษา
BECOM อีกหลายพันล้านบาทแล้วนั้น ปัญหาเรื่องเรือลำเลียงก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่มีสิทธิทำให้โครงการพัฒนาการขนส่งทางน้ำมีอันล้มคว่ำคะมำหงายได้ทุกเมื่อ
บริษัทที่ปรึกษา BECOM เสนอว่าวิธีการเดินเรือภายในที่นักเดินเรือคนไทยคุ้นเคยกับการใช้เรือลากจูงนั้นเป็นวิธีการที่ค่อนข้างล้าสมัยมีจุดอ่อนหลายประการ
เช่น ต้องใช้คนประจำเรือหลายคน การควบคุมเรือลำบากต้องเสียเวลาในการตั้งขบวนเรือนาน
และระวางบรรทุกไม่ได้มาตรฐานและไม่เหมาะสมกับระบบการขนถ่ายสินค้าที่ทันสมัย
บริษัทที่ปรึกษา BECOM จึงได้เสนอให้นำเรือกลดัน (PULL TOMING TEDURIGUE
และเรือลำเลียงเหล็กแบบใหม่ประเภท P500 และ B45 ตามลำดับมาใช้แทนวิธีการลากจูงเดิมเรือขนส่งแบบใหม่นี้เป็นเรือท้องแบน
ที่มีลักษณะการทำงานดังนี้คือ เรือลำเลียงเหล็กขนาดเล็ก 2 ลำควบกันเป็นเรือคู่หน้าและอีก
2 ลำควบกันเป็นเรือคู่หลัง ทั้งหมดจะตรึงกันเป็น 1 ชุดควบคุมโดยเรือกลดันเมื่อบรรทุกได้เต็มที่เรือชุดทำความเร็วได้
6 น็อตในน้ำนิ่ง ค่าใช้จ่ายตกลำละประมาณ 20 ล้านบาทซึ่งทางกรมเจ้าท่าได้ทำสัญญาก่อสร้างกับบริษัทคู่ต่อเรือธนบุรี
กรมเจ้าท่านั้นเชื่อตามที่บริษัทที่ปรึกษาเสนอมาทุกอย่างว่าการขนส่งด้วยเรือท้องแบนแบบใหม่นี้ไม่มีปัญหาแน่สามารถที่จะเดินเรือได้แม้ว่าร่องน้ำจะตื้นมาก็ตามทีแต่ครั้นเอาเข้าจริง
ๆ ยังไม่ทันจะได้ลองของใหม่อะไรมากนัก็มีแววของปัญหาสำหรับเรือแบบใหม่นี้อย่างมากมาย
ร่องน้ำตื้นที่ว่าล่องได้และให้ผลคุ้มค่ามากที่สุดกลับล่องเรือไม่ได้อย่างที่คุย…
เรือท้องแบนแบบใหม่ที่ยกข้อดียั่วยวนนักลงทุนให้สนใจก็ไม่มีใครเหลียวแล
"กรมเจ้าท่านั้นเวลานี้เหมือนหลังชนฝาที่ต้องทำทุกอย่างให้คนเขาเห็นว่าเรือท้องแบนแบบใหม่สามารถเดินได้ในน้ำตื้นอย่างวันที่โชว์ให้ดูเมื่อ
19 มกราคมที่ผ่านมานั้นก็เป็นการจัดฉากกันเสียมากกว่า เพราะก่อนล่องเรือลงมาที่สิงห์บุรี
อ่างทอง ได้มีการขอให้ปล่อยน้ำมามาก ๆ จนได้ระดับความลึกพอมันก็เลยพอเดินเรือล่งอได้ทว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเชื่อไหมว่าระยะททางจากชัยนาทมาอ่างทองบางทีกินเวลาตั้ง
4-5 วันเพราะน้ำไม่มีเรือล่องไม่ได้ในน้ำตื้นโรงงานน้ำตาลรวมผลที่ลงทุนไปแล้วรับรู้ความเจ็บปวดในเรื่องนี้ได้ดีที่สุด"
แหล่งข่าวที่ร่วมไปกับการจัดโชว์การล่องเรือท่านหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
สำหรับสาเหตุที่เรือขนส่งของโรงงานน้ำตาลรวมผลประสบอุบัติเหตุล้มคว่ำหลายเที่ยว
ก่อนหน้าที่จะมีการสาธิตของกรมเจ้าท่านั้น น่าจะเป็นเพราะว่าลักษณะของแม่น้ำคดเคี้ยวมุมหักเหของเรือดันชุดหนึ่งที่มีความยาวขนาด
15.00 ม.คงจะลดเลี้ยวไม่ได้ตลอดลำน้ำจนชนเข้ากับตลิ่ง เมื่อเรือชนตลิ่งแล้วเรือก็พยายามดันพุ้ยกันไปพุ้ยกันมาใบจักรก็จะไปตัดกับทรายทำให้เรือเกิดการขวางลำเรือลำหลังที่ตามมาไม่อาจหยุดได้ก็เลยชนกันนัวเนียไปหมด
กอปรกับเจอหินโสโครกบวกเข้าไปอีกแรงหนึ่งเรือก็เลยมีปัญหามากยิ่งขึ้น
ปัจจุบันกองเรือลำเลียงที่ใช้ในการขนส่งระบบลากจูงเดินมีอยู่ประมาณ 1,200
ลำ ระวางบรรทุกที่ทางสมาคมนายจ้างเรือขนส่งทางน้ำแห่งประเทศไทยบอกว่าสามารถรับน้ำหักบรรทุกได้ถึง
650,000 ตันครอสแต่ทางกรมเจ้าท่ากลับบอกว่าบรรทุกได้เพียง 340,000 ตันครอส
ไม่รู้ใครโกหกกันแน่
แต่ที่แน่ ๆ ระวางบรรทุกจะเป็น 340,000 ตัน หรือ 650,000 ตันอย่างไรนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องใหญ่เท่ากับปริมาณการขนส่ง
20 ล้านตันหรือเฉลี่ยเดือนละ 1,600,000 ตันหรือขนส่งได้เพียง 2 เที่ยวครั้ง/เดือน
ซึ่งยังเป็นการใช้งานที่ไม่คุ้มกับประสิทธิภาพที่เป็นจริง เนื่องจากขีดความสามารถของเรือลำเลียงแบบเดิมสามารถที่จะขนส่งได้ถึงเดือนละ
5 เที่ยว หรือเดือนละไม่ต่ำกว่า 3,000,000 ตัน รวมแล้วยังมีเรือลำเลียงที่ยังไม่ได้ใช้งานอะไรเลยอีก
200,000 กว่าตัน
ส่วนที่ขาดหายไปนี้ไม่รู้ว่ากรมเจ้าท่าที่เดินตามก้นบริษัทที่ปรึกษา BECOM
แทบจะทุกฝีก้าวไม่รู้ว่าได้มีการเสียไปหรือเปล่า หรือจะพอใจอยู่กับการพยายามที่จะดึงดันเอาเรือท้องแบนแบบใหม่ที่เห็นแล้วว่ามีปัญหาแน่นอนมาใช้ให้ได้
เรือลำเลียงแบบเก่าที่ใช้กันอยู่นั้นมีขนาดตั้งแต่ 200 - 1,000 ตัน มีระวางกนิน้ำเมือ่ไม่บรรทุกสินค้าประมาณ
60% มีขนาดความกว้าง 7-10 เมตร ความยาว 90-40 เมตร ถ้าบรรทุกสินค้าเต็มที่จะกินน้ำลึกประมาณ2.5-3
เมตรเรือขบวนหนึ่ง 4 ลำมีเรือลาก 1 ลำต้นทุนประมาณ 2-6 ล้านบาทขณะที่เรือท้องแบนแบบใหม่ต้นทุนประมาณ
20 ล้านบาท ซึ่งสภาพการใช้งานกับสภาพที่จริงของแม่น้ำเจ้าพระยาหาได้มีความแตกต่างกันไม่หนำซ้ำเรือแบบเก่ายังไม่มีปัญหาเรื่องร่องน้ำมารบกวนใจอีก
จากสภาพเช่นนี้เองที่ทำให้เจ้าของเรือขนส่งทั้งหลายไม่อาจทำใจสู้ไปตามเพลงของกรมเจ้าท่าที่พยายามยกแม่น้ำทั้งแปดมาหว่านล้อมให้เกิดความเชื่อมั่นได้
"ผมขาดทุนไม่พอกับค่าดอกเบี้ยแน่ถ้าต้องการต่อเรือท้องแบนตามแบบกรมเจ้าท่าเมื่อนำพืชไร่ไปขายก็เกรงว่าราคาจะสู้เขาไม่ได้
สุดท้ายคนที่ต้องรับบาปก็คือชาวนา ชาวไร่ ถ้ามีการปรับปรุงร่องน้ำและใช้เรือลำเลียงเก่าซึ่งมีระวางเหลืออีกหลายแสนตันและไม่ต้องลงทุนอะไรเลยน่จะคุ้มกว่าร่องเรือน้ำเก่าที่ใช้เดินเรือนั้นควรที่จะไม่ต่ำกว่า
100 เมตร ราวสะพานที่จะให้เรือลอดควรจะมีขนาดประมาณ 60 เมตร ส่วนสูงระหว่างน้ำขึ้นเต็มที่ควรจะให้สูงประมาร
10 เมตร เพราะทุกวันนี้ในด้านการขนส่งเหนือจากอำเภอท่าเนือมีสะพานรถไฟในหน้าน้ำแล้วเรือไม่สามารถลอดสะพานได้เลยหรือทางอ่างทองก็มีหลายสะพานที่เรือลอดไปไม่ได้
ตรงเขื่อนเจ้าพระยา ชัยนาท ก็ต้องแก้ไขเมื่อปี 2530 มีบริษัทเรือแห่งหนึ่งไปรับขนน้ำตาลของโรงงาน้ำตาลไทยเอกลักษณ์ขนส่งมากับร่องน้ำที่ระดับประมาณ
1.6 เมตร ทำให้ครูดกับธรณีประตูเขื่อนเป็นผลให้เรือล่ม 2 ลำ ซึ่งทำให้ไม่มีผู้ประกอบกล้าที่จะไปทดลองกันอีก
ผมว่าแก้ที่จุดร่องน้ำใช้เรือเก่า และตรงเขื่อนชัยนาทจะดีกว่าที่จะเอาเงินอีก
3-4 พันล้านบาทไปใช้ในการก่อสร้างเรือท้องแบนที่ยังไม่รู้จะอกอหัวหรือก้อย"
สมศักดิ์ วรนาวิน เจ้าของเรือขนส่งเรือชื่อดังให้ความเห็น
ทำไปทำมาปัญหาการขนส่งทางน้ำ จะกลายเป็นงูหินทางที่พันกันไม่รู้จบ แก้ปัญหาเรื่องร่องน้ำกับระดับน้ำตก
ก็ไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะมีผู้ประกอบการให้ความสนใจเดินเรือตามระบบใหม่อย่างคับคั่ง
ที่คาดหวังดีไม่ดีงานนี้อาจเป็นเรื่องที่กรมเจ้าท่าดำน้ำพริกละลายแม่น้ำเล่นอย่างที่ไม่น่าพึงอภัยให้ได้เลย
อย่างไรก็ตามยังอยากจะขอย้ำว่าการพัฒนาการขนส่งทางน้ำโดยเฉพาะตลอดลำน้ำเจ้าพระยามีความจำเป็นอย่างมากเพราะจะก่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดทั้งทางด้านเกษตรกรรม
พาณิชยกรรม และธุรกิจต่อเนื่องต่าง ๆ อีกมากมาย ความเจริญเหล่านี้จะย่างกรายปรากฎโฉมให้ได้ยลกันไดั้นจำเป็นเหลือเกินที่ภาครัฐบาลจะต้องสะสางปัญหาความยุ่งยากทั้งมวลให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
ในอารยประเทศทั้งหลายการขนส่งทางน้ำเพื่อป้อนสินค้าเข้าสู่ใจกลางเมืองใหญ่เป็นสิ่งที่ทำกันมานานแล้ว
ไม่ใช่ให้รถบรรทุกวิ่งทุกสินค้าเข้าเมืองใหญ่สร้างความเสียหายให้แก่สภาพพื้นผิวถนน
และอุบัติเหตุไม่เว้นแต่ละวันเหมือนในบ้านเราทุกวันนี้
ถ้าหากอยากให้การขนส่งทางน้ำเป็นกลไกพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อการแข่งขันในตลาดโลกได้มีประสิทธิผลแล้ว
ก็ต้องแก้ปัญหานี้ให้ได้
อย่างต้องให้ใคร ๆ พากันประฌามเลยว่านี่เป็น "มรดกเฮงซวย" อีกชิ้นหนึ่ง