|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤศจิกายน 2551
|
|
ถ้าประเทศไทยไม่มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อ 11 ปีก่อน วันนี้เราอาจได้เห็นระบบการเงินของประเทศไทยล่มสลายลงไปอย่างสิ้นเชิงเรียบร้อยแล้ว
เพราะอะไร?
เพราะวิธีคิดของของมนุษย์พันธุ์ที่เรียกตัวเองว่า "นักการเงิน" นั้น ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติใด สัญชาติใด จะมีความเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ มีความ "โลภ" และ "งก" เป็นที่ตั้ง
"โลภ" ตรงที่เมื่อเห็นว่าที่ใดที่เปิดช่องให้ทำกำไรได้ ก็มักจะกระโดดเข้าใส่
"งก" ก็ตรงที่แม้ว่าจะได้กำไรไปแล้ว ยังไม่หนำใจ ต้องใส่เงินเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อให้ได้กำไรมากขึ้น มากขึ้น
ถ้าสถาบันการเงินไทยไม่ได้รับบทเรียนเมื่อครั้งที่ "โลภ" เอาเงินต้นทุนต่ำจากต่างประเทศมาปล่อยกู้ต่อในประเทศ ซึ่งได้ส่วนต่างดอกเบี้ยสูงกว่า และ "งก" ตรงที่พยายามเพิ่มยัดเยียดเงินกู้ให้ผู้ประกอบการชาวไทยเป็นหนี้มากขึ้น มากขึ้น เพื่อที่จะให้ตนเองได้กำไรสูงขึ้น สูงขึ้น
แล้วกลับโดนมาตรการ "หักดิบ" ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ด้วยการลอยตัวค่าเงินบาทนั้น
เชื่อว่า กลิ่นกำไรอันหอมหวนในตลาดซัพไพรม์ที่เคยเป็นแหล่งทำเงิน ทำกำไรให้กับสถาบันการเงินแทบทุกแห่งในสหรัฐอเมริกากับยุโรป เมื่อไม่กี่ปีมานี้
สถาบันการเงินไทยคงอดใจไม่ไหว ต้องนำเงินของชาวบ้านเข้าไปร่วมเล่นเกมการเงินครั้งนี้ด้วยแน่ๆ
ถือเป็นบทเรียนที่ดีและมีราคาแพงยิ่ง ที่เราได้รับจากการลอยตัวค่าเงินเมื่อปี 2540
วิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อ 11 ปีที่แล้ว แม้ว่าจะทำให้มีสถาบันการเงินหลายแห่งต้องล้มหายตายจากไปนั้น
ในทางตรงกันข้าม กลับสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันการเงินที่เหลือ
ไม่ใช่ความแข็งแกร่งในด้านฐานะการเงินเพียงอย่างเดียว
แต่ยังเป็นความแข็งแกร่งในวิธีคิด การดำเนินงานในการสร้างรายได้จากเงินฝากของชาวบ้าน ซึ่งก็คือประชาชนโดยทั่วไป
จริงอยู่ ที่ 10 ปีที่ผ่านมา มีเสียงสะท้อนจากนักธุรกิจ ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็กมาตลอดว่า "ทุกวันนี้ จะกู้เงินจากแบงก์แต่ละที ยากเข็ญยิ่ง"
เพราะแบงก์กลัว ไม่ปล่อยกู้ง่ายๆ เพราะภาพอันเลวร้ายในการติดตามหนี้เอ็นพีแอล เมื่อ 10 ปีก่อน ยังคงตามหลอกตามหลอนอยู่
แต่ความกลัวที่ว่า กลับเป็นเรื่องดี เพราะทำให้แบงก์ไม่กล้านำเงินของชาวบ้านไปปู้ยี่ปู้ยำเล่นโดยง่าย
จะปล่อยเงินออกไปแต่ละครั้ง ต้องวิเคราะห์แล้ว วิเคราะห์อีก ก่อนว่าต้องไม่ "เสี่ยง"
แล้วค่อยมาคิดคำนวณทีหลังว่า ผลตอบแทนที่จะได้รับนั้น "คุ้ม" หรือ "ไม่คุ้ม"
แน่นอน นักธุรกิจหลายคนอาจหงุดหงิดในความสัมพันธ์กับสถาบันการเงินอยู่บ้าง ที่ไม่เหมือนกับสมัยก่อนเกิดวิกฤติ
แต่ในแง่ของคนฝากเงิน กลับมีความสบายใจมากกว่า ว่าสถาบันที่ใช้บริการอยู่นั้น มั่นคงพอที่จะเอาทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ไปฝากให้ดูแล
การล้มลงของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ทั้งฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรปในรอบนี้ เป็นภาพสะท้อนที่ดีว่าถึงที่สุด ไม่ว่าสถาบันการเงินนั้น จะ "ใหญ่" หรือมีประวัติศาสตร์ยาวนานเพียงใด
หาก "โลภ" หรือ "งก" ขึ้นมา ก็ต้องพบกับจุดจบที่เหมือนกัน
"นักการเงิน" ของไทยได้รู้จักจุดจบนั้นมาแล้ว ยิ่งได้มาเห็นจุดจบของเพื่อนร่วมอาชีพ ในซีกโลกที่เคยถูกมองว่ามีพัฒนาการและเทคโนโลยีที่เหนือกว่าครั้งนี้
น่าจะเป็นการตอกย้ำบทเรียนได้เป็นอย่างดีว่าการ "โลภ" และ "งก" โดยที่มีเงินของชาวบ้านเป็นเครื่องมือนั้น
สุดท้ายแล้วจะไม่เหลืออะไรให้หยิบจับได้อีกเลย
|
|
|
|
|