Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2532








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2532
"เล่ห์กลของบัวหลวงที่กำกับอู่ในเครือ"             
โดย ภัชราพร ช้างแก้ว
 


   
search resources

บัวหลวงประกันภัย
Insurance




บัวหลวงประกันภัยประสบปัญหาการขาดทุนมาเป็นเวลานานแต่กว่าที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายจะรู้สึกว่ามันเข้าขั้นวิกฤติกก็เมื่อย่างเข้าเมษา - พฤษภา 2530 โดยบรรดาอู่รถในเครือประกันทั้งหลายเริ่มรู้สึกตัวว่ากำลังถูกบริษัทบีบในเรื่องการตีราคาซ่อมรถ

เจ้าของอู่แห่งหนึ่งแถบชานเมืองด้านเหนือของกรุงเทพฯเปิดเผยให้ "ผู้จัดการ" ฟังด้วยความขมขื่นใจว่าบัวหลวงอาจจะมีปัญหาด้านการเงินมาเป็นเวลานาน แต่พวกเขาไม่ได้ระแคะระคายแต่อย่างใด จวบจนต้นปี 2530 เมื่อบริษัทออกกฎว่าเมื่อเกิดเหตุรถยนต์ชนกัน ต้องเอารถไปตีราคาที่อู่ณรงค์กิจ ตรอกจันทน์ ซึ่งเป็นอู่ในเครือแห่งหนึ่ง

การตีราคาของอู่ณรงค์กิจนั้นเป็นราคาที่ "ไม่สามารถทำการซ่อมแซมได้ เขาตีต่ำกว่าราคาที่เสีย ชิ้นส่วนที่ซ่อมไม่ได้ก็ต้องซ่อมเอาเองหรือทิ้งให้เขาซ่อม ซึ่งของเรามีช่างซ่อมอยู่ประจำนี่เราก็กลัวในเรื่องฝีมือ ว่าเขาจะซ่อมไม่ดี และประเมินแล้วรู้สึกว่าทุกครั้งเราต้องขาดทุน"

ดังนั้นเจ้าของอู่แห่งนี้ ซึ่งก็ถือว่าตัวเองเป็นลูกค้าที่มีรถประกันอยู่กับบัวหลวงหลายคันจึงได้เดินทางไปคุยกับ ชาญชัย ตันกิติบุตร กรรมการผู้อำนวยการบริษัทเป็นการส่วนตัว โดยเขาเป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอว่าการให้อู่รณงค์กิจตีราคานั้นไม่ได้รับความสะดวกหลายอย่าง อีกทั้งเป็นราคาที่ไม่สามารถทำการซ่อมได้ หากในกรณีที่ความเสียหายไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท "ผมก็ถ่ายรูปไว้ ไม่ว่าเป็นฝ่ายถูกหรือผิด ถ้าถูกประกันก็เรียกจากฝ่ายโน้น แล้วก็ออกหลักฐานคือใบเคลมให้เรา ในรายการความเสียหายตามที่เป็นและเราก็ถ่ายรูปยืนยันประกอบอยู่แล้ว เอาไปให้ดูแล้วก็คุยราคากันมาตั้งเบิก ชำระเงิน"

เจ้าของอู่กล่าวว่าข้อเสนอนี้ไม่ได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เป็นกรตกลงกันด้วยวาจา และแน่นอนว่าก่อนที่จะตกลงนั้น ชาญชัยก็มีข้อแลกเปลี่ยนเสนอกลับมา

ข้อเสนอที่เป็นการแลกเปลี่ยนของชาญชัยก็คือ เจ้าของอู่ในเครือทั้งหลายต้องให้เคดิตแก่บริษัท คือเครดิตค้างชำระเงินเป็นเวลา 3 เดือน ขยายความก็คือเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นก็จะมีการถ่ายรูปแล้วไปคุยราคากันประมาณ 10 - 15 วัน ไปปิดใบเสร็จออกเป็นใบนัด และนับจากวันเริ่มออกใบนัดไปเป็นเวลา 3 เดือน อู่จึงจะไปรับเงินที่จ่ายค่าเสียหายล่วงหน้าไปแล้วได้

เจ้าของอู่แห่งนี้กล่าวอย่างใจป้ำว่า ตกลง ทั้งนี้เขาคิดวาเมื่อผ่านไป 3 เดือนแล้วเขาก็จะได้รับเงินเดือนที่ 1 ในเดือนที่ 4 "เราจะวิ่งไปเรื่อย ๆ ตัวนี้ไม่มีปัญหา"

แต่แล้วพอเริ่มทำเข้าจริง ๆ ปรากฏว่าไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ด้วยวาจา กล่าวคือกว่าที่จะเอาใบเคลม ใบเสร็จไปปิดเป็นใบนัด และกว่าที่จะนัดอกมาได้ก็เกิน 3 เดือนไปมากมายอักโข "สมมุติเราไปรับเขากรกฎาฯ กว่าเขาจะนัดเราก็ตุลาฯไปปิด แล้วมกราฯถึงจะได้พอปิดเสร็จก็ออกใบนัดมา ใบนัดก็ร่วมกุมภาฯ-มีนาฯ กว่าจะได้ตังค์เขานี่ 5-6 เดือนนะ"

แม้จะให้รอเป็นเวลานาน แต่เมื่อได้สตางค์เจ้าของอู่ก็ยอมรับได้แต่แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2531 เรื่อยมา พวกเขาก็เริ่มกระสับกระส่ายและเป็นทุกข์ เพราะบริษัทเริ่มปฏิเสธการจ่ายเงินแล้ว

ลูกเล่นของบริษัทบัวหลวงในยกที่สองเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2531 โดยบริษัทบอกแเจ้าของอู่ในเครือประกันทั้งหลายว่าบริษัทไม่มีเงินจะจ่ายหนี้แล้ว ทั้งนี้กำลังรอการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้นอยู่ และอาจจะมีการเทคโอเวอร์ด้วย

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงจ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้เอาประกันรายย่อยอยู่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่น้อยมาก

บริษัทได้เรียกเจ้าของอู่ในเครือประกันทั้งหลายมาประชุมในช่วงเดือนกรกฎาฯ-สิงหาฯ พร้อมกับค่อย ๆ ปล่อยข่าวว่าจะมีคนมาร่วมลงทุน

ใครคนที่จะมาร่วมลงทุนนั้นหาใช่ใครอื่นไม่ นอกไปเสียจากคนที่ชื่อชาตรี โสภณพนิช คนโตของธนาคารกรุงเทพ ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นบัวหลวงดอกตูมนั่นเอง

ข่าวนี้ทำให้บรรดาเจ้าของอู่ค่อยคลายความกังวลเคร่งเครียดลงได้ เพราะเมื่อจะมีคนโต ๆ มาร่วมทุนด้วยแล้ว หนี้สินไม่กี่สิบล้านบาทของพวกเขาคงเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก

ในระหว่างนี้บัวหลวงได้ผัดผ่อนบรรดาเจ้าหนี้ที่เป็นเจ้าของอู่ด้วยการออกเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าให้ โดยอู่เจ้าหนี้ทั้งหมดมีอยู่ 34 อู่ มูลหนี้รวมประมาณ 25 - 30 ล้านบาท ถ้าอู่ไหนติด 1 ล้านบาทก็จ่ายเช็คให้ 10 งวด ได้เช็คใบละแสน 10 ใบ

เจ้าของอู่กล่าวด้วยน้ำเสียงชอกช้ำใจว่า "ปรากฏว่าคุยกัน พวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เหมือนผีเข้าป่าช้า ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ก็ดีกว่าไปค้าความไปฟ้องหนี้ ซึ่งเราก็ไม่รู้เรื่องกฎหมาย เราไม่เข้าใจ ก็เลยยอม"

เมื่อเช็คใบแรกก็กำหนดขึ้นเงินได้ในเดือนสิงหาคม เจ้าของอู่ก็นำไปรับเงินได้ ตามมาด้วยใบที่สองในเดือนกันยายน ปรากฏว่าเช็คใบที่มีจำนวนเงินมาก ๆ จะเด้งแล้ว แต่ใบที่เป็นยอดเงินน้อยยังคงขึ้นได้ครั้นเช็คใบที่ 3 ในเดือนตุลาคมก็ถูกปฏิเสธการสั่งจ่าย โดยธนาคารบอกให้ผู้ขึ้นเงินไปติดต่อกับบริษัทบัวหลวง และต่อมาในเดือนพฤศจิกายนธนาคารก็ปฏิเสธการสั่งจ่ายอีกโดยระบุเหตุผลว่าบัญชีของบริษัทได้ปิดเสียแล้ว

เช็คเหล่านี้เป็นของธนาคารทหารไทย และผู้ลงนามสั่งจ่ายในเช็คเหล่านี้คือ 1) ชาญชัย ตันกิติบุตร 2) เกษม กันตถาวร กรรมการผู้อำนวยการและกรรมการรองผู้อำนวยการบริษัทบัวหลวงประกันภัยตามลำดับ

เจ้าของอู่กล่าวเป็นเชิงอุทธรณ์ขอความเป็นธรรมผ่านทาง "ผู้จัดการ" ว่า "บริษัทประกันซึ่งมีหน่วยงานรัฐบาลควบคุมยังปล่อยให้ออกมาอย่างนี้ แล้วต่อไปเราจะทำประกันนี่ เราจะมีความไว้วางใจบริษัทประกันได้แค่ไหน กฎหมายก็บังคับเราว่าต้องมีการจัดทำประกันภัย โอเค เราก็สนับสนับสนุนเพราะมันทำให้เกิดความเป็นธรรมกับสังคม เมื่อเรายอมรับแล้ว แต่ว่ากฎหมายนั้นให้ความเป็นธรรมอะไรกับเราบ้าง"

เจ้าของอู่กล่าวอีกว่า "เราอยากจะขอกับทางรัฐบาลด้วยว่าให้ความคุ้มครองกับพวกเราด้วย แก่อาชีพของพวกเรา เพราะเงินพวกนี้เราไมได้ปล้นมาจากไหน ก้ได้มาจากการทำงานด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของพวกเราทั้งนั้น อย่างเราซื้ออะไหล่เราต้องจ่าย แต่เมื่อเราเรียกเก็บทางบริษัทประกันเขากลับไม่จ่าย เวลานี้ที่เราประกันจ่ายเบี้ยเป็นหมื่น ๆ บาทนี่ เท่ากับว่าเราเอาเงินเบี้ยประกันไปให้เขาแต่เราต้องคุ้มครองเสี่ยงภัยของเราเอง เมื่อเกิดเหตุที่เท่ากับว่าเราเสี่ยงภัยของเราเอง"

นี่คือบทเรียนอีกบทหนึ่งในประวัติศาสตร์ธุรกิจประกันภัยบ้านเรา

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us