เพราะเคยเป็นอาสาสมัครของ Peace Corps ด้วยการเป็นสถาปนิกคนแรกของหน่วยงานนี้และประจำอยู่ที่ Marrakech ประเทศโมร็อกโก ต่อมาย้ายไปสอนวิชาสถาปัตยกรรมที่ประเทศไนจีเรีย ทำให้สถาปนิก Steven Ehrlich เล่าถึงสิ่งที่เก็บเกี่ยวได้จากประสบการณ์เหล่านั้นว่า

"ประสบการณ์จากการทำงานในอดีตทำให้ผมเริ่มเกิดความชัดเจนในตัวเองขึ้นมาว่า สถาปัตยกรรมมีบทบาทสำคัญในการตอบสนองต่อวัฒนธรรมและบุคลิกได้อย่างไร"

เมื่อตัดสินใจที่จะออกแบบและสร้างบ้านของตัวเองบนที่ดินแปลงมุมใน Venice Beach มลรัฐแคลิฟอร์เนีย Ehrlich จึง นำเอาประสบการณ์ดังกล่าวมาใช้แบบเต็มๆ

นอกจากนี้เขายังตั้งบริษัทของตัวเองขึ้นมาและมีชื่อเสียงโดดเด่นในวงการเรื่องงานออกแบบโครงสร้างอาคารพาณิชย์และงานออกแบบบ้านพักอาศัยที่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมและการใช้วัสดุทดแทนซึ่งกำลังเป็นกระแสแรงมากในเวลานี้ จุดเด่นอีกอย่าง หนึ่งของ Ehrlich ที่ลูกค้าติดกันมากคือ ความสามารถในการออกแบบบ้านมุมให้น่าอยู่น่าสบาย

คราวนี้เขามีตัวเองเป็นลูกค้า มีที่ดินแปลงมุมผืนเล็กๆ บน ถนนสายเงียบสงบที่มีต้นปาล์มปลูกเรียงรายเป็นแนวสวยงามสำหรับรองรับงานออกแบบของตัวเอง ความท้าทายอยู่ที่การออกแบบบ้านร่วมสมัยสไตล์เรขาคณิตให้กลมกลืนกับบ้านที่อยู่โดยรอบซึ่งมีโครงสร้างแบบดั้งเดิมที่เน้นความเรียบให้ได้ นอกจากนี้ Ehrlich ยังตั้งเป้าหมายที่การใช้ประโยชน์สูงสุดจากวัตถุดิบที่มีอยู่และเป็นไปอย่างเหมาะสมยั่งยืนด้วย

เขาจึงเลือกสร้างฝาบ้านด้านนอกด้วยการทำให้มองดูคล้ายๆ เป็นวัสดุไม้ แต่จริงๆ แล้วผลิตจากถุงพลาสติกรีไซเคิลและขี้เลื่อย ตามปกติแล้วฝาบ้านลักษณะนี้จะใช้กับงานก่อสร้างระเบียงและเทอร์เรซ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันความชื้นจากฝนและน้ำทะเลได้ดี

เพื่อเป็นการเพิ่ม texture ความเป็นส่วนตัว และความรู้สึก ของส่วนโค้ง Ehrlich ออกแบบผนังที่มีภาพภูมิทัศน์สวยสะดุดตาเพิ่มเข้าไปทั้งสองด้านของด้านหน้าของตัวบ้านซึ่งมองดูแล้วเหมือน รั้วเราดีๆ นี่เอง

ภายในตัวบ้านเน้นเรื่องความต่อเนื่องและจุดเชื่อมต่อเป็นพิเศษ เพราะให้ทั้งการปกป้องและความสบาย ให้ทั้งความอบอุ่น และเปิดโล่ง เน้น texture และความเรียบจนเป็นเงามันปลาบ

ในส่วนของโครงเหล็กที่นำมาใช้ทั้งในส่วนของภายในและภายนอกตัวบ้านจะขัดเงาด้วย carnauba-wax และฉาบด้วย สารกันสนิม

บ้านหลังนี้ไม่ต้องพึ่งเครื่องปรับอากาศให้สิ้นเปลืองพลังงาน เพราะสร้างให้มีระบบระบายอากาศตามธรรมชาติ พอถึงฤดูหนาว ก็ได้ความอบอุ่นจากความร้อนที่แผ่ขึ้นมาจากใต้พื้นคอนกรีตและพื้นไม้วอลนัท

โดยเหตุที่เป็นบ้านพักชายทะเล แต่ละปีจึงมีช่วงเวลาหนาว เย็นไม่กี่วันเท่านั้น งานออกแบบส่วนใหญ่จึงเน้นเรื่องความต่อเนื่อง หรือเชื่อมต่อระหว่างภายในและภายนอกตัวบ้านเป็นหลัก ผลที่ได้ ก็คือบ้านโครงสร้างสไตล์ pavilion ที่เริ่มต้นจากพื้นที่ต่ำบริเวณทางเข้าด้านหน้าและยกตัวสูงขึ้น

บริเวณห้องนั่งเล่นและรับประทานอาหารซึ่งเชื่อมต่อกันให้ความรู้สึกโปร่งโล่งด้วยเพดานสูง 15 ฟุต ส่วนของพื้นที่กลางบ้านนี้มีประตูกระจกโครงอลูมินั่มที่ทำให้เห็นความสวยงามของสระน้ำรอบตัวบ้านและทิวทัศน์ข้างนอกได้เต็มตา

ประตูกระจกแบบติดเดือยตรงด้านบนและด้านล่างของบานประตูที่ทำให้สามารถเปิดออกและปิดเข้าได้อย่างง่ายดาย (โปรดดูภาพประกอบ) ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมให้ อากาศบริสุทธิ์หมุนเวียนถ่ายเทระหว่างตัวบ้านหลังใหญ่และโรงเก็บรถ/เรือนรับรองแขกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังเป็นประตูที่เปิดจากส่วนของ ห้องรับประทานอาหารไปยังลานบ้านด้านนอกด้วย

ความเก๋อยู่ที่การออกแบบบันไดไม้วอลนัท นำไปสู่ห้องนั่งเล่นชั้นลอย แล้วให้ส่วนของปล่องบันได (stair well) ทำหน้าที่เป็นเหมือนแกลเลอรีแสดงผลงานศิลปะได้อย่างเหมาะเจาะสุดคลาสสิก อีกต่างหาก (โปรดดูภาพประกอบ)

จากบันไดไม้ก็จะถึงสะพานกระจกที่สร้างคร่อมห้องนั่งเล่นข้างล่าง เมื่อเดินข้ามสะพานกระจกไปก็จะพบบันได นำไปสู่ห้องชุดซึ่งรวมถึงห้องสมุดและระเบียงที่สร้างเป็นแนวตามความยาวของพื้นที่บ้านชั้นบน ทำให้ได้บ้านมุมหลังเท่ๆ ที่เจ้าของออกแบบสร้างขึ้นมาแล้วสามารถสะท้อนให้เห็นความเคารพที่มีต่อเพื่อนบ้านในละแวกนั้น เป็นบ้านที่มีพื้นที่กลางแจ้งสำหรับเวลาส่วนตัวและงานจัดเลี้ยง และเป็นบ้านที่รู้จักฉกฉวยประโยชน์จากภูมิอากาศชายทะเลอันแสนวิเศษ รวมทั้งชีวิตสบายๆ เรียบๆ ง่ายๆ ของ Venice Beach