ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นฯ ปรับเป้ารายได้ปีนี้ใหม่ ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ
42,000 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 30%จากปีก่อนเนื่องจากรับรู้รายได้จากการเข้าไปลงทุนใน"เอ็มเพรส
อินเตอร์เนชั่นแนล"ของสหรัฐฯอีก 100 ล้านเหรียญ แถมยังมีเงินเหลือที่จะลงทุนเพิ่มได้อีกเพียบ
เผยเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลช่วงตุลาคมนี้หุ้นละ 1.19บาท หลังจากครึ่งปีแรกโกยกำไร
1,461.5 ล้านบาท ขยายตัวขึ้น 154%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์
จำกัด (มหาชน)(TUF) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับเป้ารายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,000
ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 42,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 900
ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 37,800 ล้านบาท คิดเป็นรายได้เติบโตขึ้นกว่า30% รวมทั้งคาดว่าปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่
15-20%
รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการเข้าไปซื้อกิจการของบริษัท เอ็มเพรส
อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้นำในการนำเข้าและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็ง โดยเฉพาะกุ้งขาวจากสหรัฐฯ
ทำให้บริษัทฯรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในช่วง 5 เดือนนับจากนี้ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือ 4,200 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้เอ็มเพรสฯจะมีรายได้ประมาณ 220-240 ล้านเหรียญสหรัฐ
"ปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทฯมีรายได้แตะ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดเมื่อเทียบกับ
2 ปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ"
การตัดสินใจซื้อเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลครั้งนี้ TUF ใช้เงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดประมาณ
24.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ยังมี Free Cash Flow ประมาณ 1,500-2,000
ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าฐานะการเงินยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะลงทุนเพิ่ม
ดังนั้น บริษัทฯยังมีความสามารถในการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยไม่กระทบต่อกระแสเงินสดที่มีอยู่ในปัจจุบัน อัตราหนี้สินต่อทุนรวมทั้งไม่ต้องมีการระดมทุนเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่เร่งรีบที่จะลงทุนโครงการใหม่ในช่วงนี้ เพราะเพิ่งลงทุนไป
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสเป็นสำคัญ
"ปีนี้เป็นปีที่ผู้บริหารให้ความสนใจในการลงทุนใหม่ เพราะเราไม่ได้ลงทุนมานานแล้ว
ซึ่งดีลนี้ไม่ใช่ดีลแรก เพราะเราทำหลายดีล แต่เพิ่งประสบความสำเร็จ ซึ่งนโยบายการลงทุนนั้น
ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส หลังจากเข้าไปลงทุนในเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล จะทำให้TUF
เติบโตต่อไปได้อีก 2 ปี หากบริษัทไม่ได้มีการลงทุนเพิ่มเติมก็ตาม โดยปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น
20%จากปีนี้"
เปลี่ยนสถานะจากผู้ผลิตเป็นผู้ซื้อ
นายธีรพงศ์ กล่าวถึงเหตุผลในการลงทุนในบริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลว่า
เป็น การเปลี่ยนสถานะจากเดิมที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอาหารทะเลแปรรูปเพียงอย่างเดียวสู่การเป็นผู้ซื้ออาหารทะเลสดและแช่แข็ง
โดยเฉพาะกุ้ง ซึ่งปัจจุบันการผลิตกุ้งแช่แข็งเกินความ ต้องการอยู่มาก ทำให้กลายเป็นตลาดของผู้ซื้อ
หากบริษัทฯไม่ปรับตัวในการสร้างความได้เปรียบ โอกาสธุรกิจกุ้งจะยิ่งแคบลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ บริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลมีฐานลูกค้าเป็นร้านค้าส่ง (Wholesale)
ในสหรัฐฯถึง 2,000 ราย ขณะที่บริษัทย่อย คือ Chicken of the Sea ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่อันดับ
3 ของสหรัฐฯมีความแข็งแกร่งของฐานลูกค้า Retail และ Foodservice ซึ่งจะสามารถช่วยเสริม
ธุรกิจร่วมกันได้
ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเพิ่ม Supply Chain โดยส่งเสริมให้บริษัทเอ็มเพรส อินเตอร์
เนชั่นแนล หันมานำเข้ากุ้งแช่แข็งแปรรูปจากไทย เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่นำเข้าเพียง
6% เพิ่มเป็น 25-30% โดยจะลดการซื้อกุ้งแช่แข็งจากละติน อเมริกาลง
"การลงทุนในเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล มีขนาดลงทุนค่อนข้างเล็ก แต่มีความสำคัญในด้านกลยุทธ์
และยุทธศาสตร์กุ้งของบริษัท เพราะเขาเป็นบริษัทผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยมียอดขายแต่ละปีกว่า
200 ล้านเหรียญ ขณะที่ TUF มีรายได้จากธุรกิจกุ้งเพียง 100-120 ล้านเหรียญเท่านั้น"
ดังนั้น ในปี 2547 บริษัทฯจะมีรายได้จากธุรกิจกุ้ง รวมทั้งอาหารกุ้งประมาณ 15,000
ล้าน บาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 30%ของยอดขายรวม จากปัจจุบันธุรกิจกุ้งสร้างรายได้ให้กลุ่มบริษัทเพียง
15% ของยอดขายรวม
โดยโครงสร้างรายได้ของ TUF จะเปลี่ยน แปลงเป็น ธุรกิจปลาทูน่า 45-50%ของรายได้
ธุรกิจกุ้ง 30% และอาหารทะเลอื่นๆ
นายธีรพงศ์ กล่าวถึงแนวโน้มราคาปลาทูน่า ในครึ่งปีหลังว่าน่าจะอยู่ที่ 750-800
เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปัจจุบันที่มีราคาอยู่ที่ 800 เหรียญสหรัฐ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปลายมี.ค.
ที่ผ่านมา ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 450 เหรียญสหรัฐ
ส่วนกุ้งแช่แข็ง ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 230 บาท/กก. คาดว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย
เนื่องจากเป็นช่วงจับกุ้งทำให้มีปริมาณกุ้งออกสู่ตลาดค่อนข้าง มากในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้
ครึ่งปีแรกกำไรโต 154%
ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2546 บริษัท มีกำไรสุทธิ 714.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจาก
ช่วงเดียวกันของปีก่อน164% มีกำไรต่อหุ้น 0.83 บาท เนื่องจากบริษัทฯมีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น
17% จาก 195.2 ล้าน เหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/2545 มาเป็น 229 ล้าน เหรียญสหรัฐในปีนี้
เนื่องจากการเติบโตของยอด ขายโดยเฉพาะปลาทูน่าเพิ่มขึ้น 24% รวมทั้ง Chicken of
the Sea ในสหรัฐอเมริกาสามารถ ทำกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลงจาก
23.3% เป็น 13.8% ของกำไรสุทธิ เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน(BOI)
ส่วนงวดครึ่งปีแรก 2546 บริษัทยังมีกำไร ต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 1461.5 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 886.7 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 ซึ่งเท่ากับ 574.8 ล้านบาท
หรือคิดเป็น 154% และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 452 ล้านเหรียญ สหรัฐ หรือในรูปเงินบาทเท่ากับ
19,200.4 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 19,392.8 ล้านบาท
จ่ายปันผลระหว่างกาล 1.19 บาท
นายธีรพงศ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประมาณเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้
โดยจะมีการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าที่เคยจ่าย คือ 70% จากกำไรจากการดำเนินงาน ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้ใช้เงินบางส่วนไป
ลงทุนเพิ่มโดยการเข้าซื้อบริษัทเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลก็ตาม
โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯมีกำไรสุทธิ 1461.5 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) 1.70
บาทหากคำนวณที่อัตรา 70%ของกำไรสุทธิจะเท่ากับ 1.19 บาท/หุ้น