Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน6 สิงหาคม 2546
TUFโกยรายได้$1พันล้าน หลังเทก "เอ็มเพรส" สหรัฐฯ             
 


   
www resources

Thai Union Frozen Homepage

   
search resources

ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์, บมจ.
เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล
ธีรพงศ์ จันศิริ
Food and Beverage




ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่นฯ ปรับเป้ารายได้ปีนี้ใหม่ ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 42,000 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 30%จากปีก่อนเนื่องจากรับรู้รายได้จากการเข้าไปลงทุนใน"เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล"ของสหรัฐฯอีก 100 ล้านเหรียญ แถมยังมีเงินเหลือที่จะลงทุนเพิ่มได้อีกเพียบ เผยเตรียมจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลช่วงตุลาคมนี้หุ้นละ 1.19บาท หลังจากครึ่งปีแรกโกยกำไร 1,461.5 ล้านบาท ขยายตัวขึ้น 154%

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน)(TUF) เปิดเผยว่า บริษัทฯได้ปรับเป้ารายได้ในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 42,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 900 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 37,800 ล้านบาท คิดเป็นรายได้เติบโตขึ้นกว่า30% รวมทั้งคาดว่าปีนี้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 15-20%

รายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการเข้าไปซื้อกิจการของบริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้นำในการนำเข้าและจัดจำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็ง โดยเฉพาะกุ้งขาวจากสหรัฐฯ ทำให้บริษัทฯรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นในช่วง 5 เดือนนับจากนี้ประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 4,200 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้เอ็มเพรสฯจะมีรายได้ประมาณ 220-240 ล้านเหรียญสหรัฐ

"ปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทฯมีรายได้แตะ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงสุดเมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 800 ล้านเหรียญสหรัฐ"

การตัดสินใจซื้อเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลครั้งนี้ TUF ใช้เงินลงทุนมาจากกระแสเงินสดประมาณ 24.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ยังมี Free Cash Flow ประมาณ 1,500-2,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าฐานะการเงินยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะลงทุนเพิ่ม

ดังนั้น บริษัทฯยังมีความสามารถในการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคตอีก 100 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไม่กระทบต่อกระแสเงินสดที่มีอยู่ในปัจจุบัน อัตราหนี้สินต่อทุนรวมทั้งไม่ต้องมีการระดมทุนเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ไม่เร่งรีบที่จะลงทุนโครงการใหม่ในช่วงนี้ เพราะเพิ่งลงทุนไป แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสเป็นสำคัญ

"ปีนี้เป็นปีที่ผู้บริหารให้ความสนใจในการลงทุนใหม่ เพราะเราไม่ได้ลงทุนมานานแล้ว ซึ่งดีลนี้ไม่ใช่ดีลแรก เพราะเราทำหลายดีล แต่เพิ่งประสบความสำเร็จ ซึ่งนโยบายการลงทุนนั้น ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส หลังจากเข้าไปลงทุนในเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล จะทำให้TUF เติบโตต่อไปได้อีก 2 ปี หากบริษัทไม่ได้มีการลงทุนเพิ่มเติมก็ตาม โดยปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้เติบโตขึ้น 20%จากปีนี้"

เปลี่ยนสถานะจากผู้ผลิตเป็นผู้ซื้อ

นายธีรพงศ์ กล่าวถึงเหตุผลในการลงทุนในบริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลว่า เป็น การเปลี่ยนสถานะจากเดิมที่เป็นผู้ผลิตและผู้จำหน่ายอาหารทะเลแปรรูปเพียงอย่างเดียวสู่การเป็นผู้ซื้ออาหารทะเลสดและแช่แข็ง โดยเฉพาะกุ้ง ซึ่งปัจจุบันการผลิตกุ้งแช่แข็งเกินความ ต้องการอยู่มาก ทำให้กลายเป็นตลาดของผู้ซื้อ หากบริษัทฯไม่ปรับตัวในการสร้างความได้เปรียบ โอกาสธุรกิจกุ้งจะยิ่งแคบลงเรื่อยๆ

นอกจากนี้ บริษัท เอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลมีฐานลูกค้าเป็นร้านค้าส่ง (Wholesale) ในสหรัฐฯถึง 2,000 ราย ขณะที่บริษัทย่อย คือ Chicken of the Sea ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่อันดับ 3 ของสหรัฐฯมีความแข็งแกร่งของฐานลูกค้า Retail และ Foodservice ซึ่งจะสามารถช่วยเสริม ธุรกิจร่วมกันได้

ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเพิ่ม Supply Chain โดยส่งเสริมให้บริษัทเอ็มเพรส อินเตอร์ เนชั่นแนล หันมานำเข้ากุ้งแช่แข็งแปรรูปจากไทย เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่นำเข้าเพียง 6% เพิ่มเป็น 25-30% โดยจะลดการซื้อกุ้งแช่แข็งจากละติน อเมริกาลง

"การลงทุนในเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนล มีขนาดลงทุนค่อนข้างเล็ก แต่มีความสำคัญในด้านกลยุทธ์ และยุทธศาสตร์กุ้งของบริษัท เพราะเขาเป็นบริษัทผู้นำเข้ากุ้งรายใหญ่ของสหรัฐฯ โดยมียอดขายแต่ละปีกว่า 200 ล้านเหรียญ ขณะที่ TUF มีรายได้จากธุรกิจกุ้งเพียง 100-120 ล้านเหรียญเท่านั้น"

ดังนั้น ในปี 2547 บริษัทฯจะมีรายได้จากธุรกิจกุ้ง รวมทั้งอาหารกุ้งประมาณ 15,000 ล้าน บาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 30%ของยอดขายรวม จากปัจจุบันธุรกิจกุ้งสร้างรายได้ให้กลุ่มบริษัทเพียง 15% ของยอดขายรวม

โดยโครงสร้างรายได้ของ TUF จะเปลี่ยน แปลงเป็น ธุรกิจปลาทูน่า 45-50%ของรายได้ ธุรกิจกุ้ง 30% และอาหารทะเลอื่นๆ

นายธีรพงศ์ กล่าวถึงแนวโน้มราคาปลาทูน่า ในครึ่งปีหลังว่าน่าจะอยู่ที่ 750-800 เหรียญสหรัฐต่อตัน จากปัจจุบันที่มีราคาอยู่ที่ 800 เหรียญสหรัฐ ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปลายมี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งมีราคาอยู่ที่ 450 เหรียญสหรัฐ

ส่วนกุ้งแช่แข็ง ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 230 บาท/กก. คาดว่าจะอ่อนตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากเป็นช่วงจับกุ้งทำให้มีปริมาณกุ้งออกสู่ตลาดค่อนข้าง มากในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้านี้

ครึ่งปีแรกกำไรโต 154%

ด้านผลประกอบการไตรมาส 2/2546 บริษัท มีกำไรสุทธิ 714.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อน164% มีกำไรต่อหุ้น 0.83 บาท เนื่องจากบริษัทฯมีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 17% จาก 195.2 ล้าน เหรียญสหรัฐในไตรมาส 2/2545 มาเป็น 229 ล้าน เหรียญสหรัฐในปีนี้ เนื่องจากการเติบโตของยอด ขายโดยเฉพาะปลาทูน่าเพิ่มขึ้น 24% รวมทั้ง Chicken of the Sea ในสหรัฐอเมริกาสามารถ ทำกำไรอยู่ในเกณฑ์ที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง และอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลงจาก 23.3% เป็น 13.8% ของกำไรสุทธิ เนื่องจากบริษัทและบริษัทย่อยได้รับสิทธิประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุน(BOI)

ส่วนงวดครึ่งปีแรก 2546 บริษัทยังมีกำไร ต่อเนื่อง โดยมีกำไรสุทธิ 1461.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 886.7 ล้านบาท จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2545 ซึ่งเท่ากับ 574.8 ล้านบาท หรือคิดเป็น 154% และมีรายได้จากการขายเท่ากับ 452 ล้านเหรียญ สหรัฐ หรือในรูปเงินบาทเท่ากับ 19,200.4 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 19,392.8 ล้านบาท

จ่ายปันผลระหว่างกาล 1.19 บาท

นายธีรพงศ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ คาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประมาณเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยจะมีการจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่าที่เคยจ่าย คือ 70% จากกำไรจากการดำเนินงาน ถึงแม้ว่าบริษัทจะได้ใช้เงินบางส่วนไป ลงทุนเพิ่มโดยการเข้าซื้อบริษัทเอ็มเพรส อินเตอร์เนชั่นแนลก็ตาม

โดยครึ่งปีแรกบริษัทฯมีกำไรสุทธิ 1461.5 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น (EPS) 1.70 บาทหากคำนวณที่อัตรา 70%ของกำไรสุทธิจะเท่ากับ 1.19 บาท/หุ้น

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us