"สุนัขเป็นสิ่งเดียวในโลกที่รักคุณได้มากกว่าที่คุณรักตัวเอง" วาทะของ Josh Billings นักเขียนชาวอเมริกัน อาจพออนุมานได้ว่าเป็นเหตุผลหนึ่งในการเลี้ยงสุนัข เมื่อยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งรัก หลายคนทุ่มทุนกับสุนัขมากกว่าตัวเอง "ธุรกิจเพื่อคนรักสุนัข" จึงเบ่งบานราวดอกเห็ดหน้าฝน จนเชื่อว่าตลาดรวมของธุรกิจนี้น่าจะมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทเลยทีเดียว
ชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนตาย จริงๆ แล้วอาจไม่จำเป็นต้องใช้อะไรมากไปกว่า "ปัจจัยสี่" แต่ระหว่างการเดินทางของชีวิต คนเรามักแสวงหาสินค้าและบริการที่มากกว่า เพื่ออำนวยความสุขสบายให้แก่ตน วงจรชีวิตสุนัขก็ไม่ต่างจากคน มีเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย ส่วนระหว่างทางของการเป็น "หมา" หลายตัวมีโอกาสได้ใช้สินค้าและบริการต่างๆ ที่มากกว่าความจำเป็นขั้นพื้นฐานของชีวิตหมาๆ
เพียงแต่ของพวกนั้น เจ้าตูบอาจไม่ได้ร้องขอ เสาะหา และซื้อมาใช้ด้วยอุ้งเท้าของมันเอง แต่เป็นสองมือของคนรักหมาที่เลี้ยงหมาเยี่ยงลูกจัดหามาให้
จึงไม่ต้องแปลกใจ ถ้าบางคนจะเรียกชื่อหมาว่า "น้องเฉาก๊วย" "ลูกขนมตาล" แทนที่จะเรียกว่า "ไอ้ดำ" หรือ "อีนวล" บางคนก็เรียกหมาๆ ว่า "เด็กๆ" หลายคนแทนตัวเองว่า "พ่อ" "แม่" และใช้คำแทนตัวหมาว่า "เขา" แทนคำว่า "มัน" มิหนำซ้ำยังเอาใจหมายิ่งกว่าคนในครอบครัวเสียอีก
"ที่บ้านเลี้ยงหมา 4 ตัว นอนด้วยกันหมด ค่าใช้จ่ายของหมาต่อเดือนเยอะกว่าของตัวเอง ทุกวัน ต้องมีขนมกลับบ้านให้หมา เลี้ยงยิ่งกว่าลูกอีก บางทีลูกสาวจะกินขนมเรายังไม่อยากซื้อให้ แต่พอ "น้องหมา" อยากได้ เราซื้อให้ก่อนเหมือนว่าเราเองก็อยาก spoil เขา (หมา) เหมือนกัน" พนักงานบริษัทกล่าวขณะกำลังเลือกขนมขบเคี้ยวให้หมาอยู่ในเพ็ทช็อปแห่งหนึ่ง
เคยมีตัวเลขระบุว่า ในปี 2550 ประเทศไทยมีประชากรหมาเลี้ยงประมาณ 7.6 ล้านตัว ในจำนวนนี้เป็นหมาที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีถึง 2.6 ล้านตัว
ว่ากันว่า เหตุที่คนไทยเลี้ยงหมามากขึ้นมาจากสภาพสังคมปัจจุบันที่ขนาดครอบครัวเล็กลง คนแก่บางคนเลี้ยงหมาเป็นเพื่อน คู่แต่งงานบางคู่ไม่มีลูกก็เลยเลี้ยงหมาแทนลูก หนุ่มสาวที่ยังโสดเลี้ยงหมาไว้แก้เหงา ยามเครียดหมาก็ยังช่วยได้ แฟนบางคู่ซื้อหมาให้กันเป็นโซ่ทองคล้องใจ บางคนเลี้ยงเพราะหมาสายพันธุ์ดีหน้าตาน่ารัก บ้างก็เลี้ยงตามแฟชั่น บางครอบครัวเลี้ยงไว้เพื่อปลูกฝังความรับผิดชอบและจิตใจที่อ่อนโยนให้ลูก ฯลฯ
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา ทัศนคติคนไทยที่มีต่อ "หมา" ค่อยๆ เปลี่ยนไป โดยเฉพาะช่วง 5 ปีหลัง ไลฟ์สไตล์การเลี้ยงหมาของคนไทยเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด
จากที่เคยเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านปล่อยหมานอนนอกบ้าน บางวันก็คลุกข้าวกับอาหารเหลือๆ มาวางให้กิน วันไหนลืมก็ปล่อยให้หาเศษอาหารกินเอง ต่อมาก็เริ่มขยับให้เข้ามานอนในบ้าน เลี้ยงด้วยอาหารเม็ด จากนั้นให้เข้ามานอนในห้องแถมยังนอนเตียงเดียวกัน นอกจากอาหารหมาที่คัดสรรมาดีแล้ว ก็ยังมีขนมขบเคี้ยว กระดูกหนังวัว และของเล่นให้แทะยามว่าง
เลี้ยงดูอย่างดีในบ้านไม่พอ หลายคนพาหมาไปปรนเปรอนอกบ้าน ทั้งอาบน้ำตัดขน ชอปปิ้งสินค้าหมา เที่ยวทะเล นวดสปา ว่ายน้ำ วิ่งเล่นในสวน พาไปเจอเพื่อนหมาๆฯลฯ...ยอมจ่ายไม่อั้นราวกับกลัวว่าหมาจะไม่รักหรือไม่มีความสุข
"การเลี้ยงหมาถือเป็นการพักผ่อนและเป็นความบันเทิงราคาถูก" มีคนเคยกล่าวไว้ในอดีต คำตอบอาจจะเป็น "ใช่" แต่หากลองสำรวจค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงหมาของคนยุคนี้จะพบว่าหลายครอบครัวมีค่าใช้จ่ายเพื่อปรนเปรอ "น้องหมา" สูงกว่าครึ่งหมื่นต่อเดือน ขณะที่หมาในจำนวน 2.6 ล้านตัว บางคน "spoil" เจ้าเพื่อนสี่ขามากถึงหลักแสนเลยทีเดียว
สำหรับคนที่ไม่ใช่ Dog Lover อาจไม่เชื่อ! หากลองติดตามดูเส้นทางชีวิตหมา... จะเห็นว่าตั้งแต่เกิดจนตาย พวกมันมีโอกาสได้ใช้สินค้าและบริการอะไรบ้าง หรืออีกนัยหนึ่ง มีธุรกิจอะไรบ้างที่เปิดมาเพื่อเอาใจบรรดาเจ้าตูบและเจ้าของ แล้วลองคำนวณดูเองว่า หมาๆ เหล่านี้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้มากขนาดไหนเชียว!?!
นับแต่ลืมตา...น้องหมาก็มีมูลค่า
เหล่าหมาน้อยแออัดในตะกร้า ดูน่าสงสารมากกว่าน่าเอ็นดู ป้าคนขายตะโกนบอก ราคาบางแก้ว 2,000 บาท ส่วนตะกร้าแบกะดินของลุงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นพันธุ์ร็อตไวเล่อร์ ค่าตัวเริ่มที่ 2,500 บาท นับแต่มีข่าวหมากัดเด็กตายเมื่อหลายเดือนก่อน ก็ไม่ค่อย มีคนอยากเลี้ยง
หมาสุดฮิตชั่วโมงนี้ หนีไม่พ้นพันธุ์ไซบีเรียนฯ ที่นอนแผ่หลาอยู่บนแผงพร้อมพัดลมเป่า ราคาสูงถึง 8,500 บาท ส่วนลูกโกลเด้นท์รีทรีฟเวอร์ในร้านห้องแอร์ ราคากว่าครึ่งหมื่น ทั้งที่แผงข้างนอกขายแค่ 3,000 บาท ขณะที่ชิวาว่ากับมิเนเจอร์ แม้จะพันธุ์เล็กแต่ก็ต้องจ่ายเงินก้อนโต เพราะแฟชั่นหมากระเป๋าพาไปไหนไปกันยังไม่หลุดเทรนด์ ของสาวๆ
ตลาดขายสัตว์เลี้ยงในจตุจักรมีหมาให้เลือกอีกหลากสายพันธุ์ ราคาที่ตั้งไว้ตอน เช้า พอตลาดวายลดลงมาเหลือไม่ถึงครึ่งก็มี ต่อดีๆ ยังอาจเหลือเพียงหลักร้อย แต่ก็ต้อง ตาดีๆ ไม่เช่นนั้นอาจได้หมามีโรคติดมือกลับบ้าน ทำให้ต้องมานั่งเสียค่ารักษาซึ่งแพงกว่าค่าหมาหลายเท่าตัว
คนที่ไม่แน่ใจคุณภาพของลูกหมาจตุจักร ตลาดซื้อขายหมาอีกแห่งที่ได้รับความนิยมสูงในปัจจุบันก็คือ อินเทอร์เน็ตและนิตยสารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีให้เลือกทั้งผู้เพาะลูกสุนัขมือสมัครเล่น หรือเจ้าของหมาที่หารายได้เสริมด้วยการขายลูกหมาจากแม่พันธุ์ของตน และฟาร์มเพาะพันธุ์หมา (Breeder) มืออาชีพ
ฟาร์มถือเป็นแหล่งซื้อขายที่จะทำให้ได้ลูกหมามีคุณภาพและมาตรฐาน ทว่า ถ้าอยากได้หมาสายพันธุ์แท้ก็ต้องแลกด้วยเงินลงทุนสูงไม่น้อย ค่าตัวเริ่มตั้งแต่หลักพันปลายๆ ไปจนถึงครึ่งแสนก็มี ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ความเข้มของสายเลือดพันธุ์แท้ และมาตรฐานฟาร์ม โดยส่วนใหญ่จะมีใบเพ็ทดิกรีการันตีสายเลือดผู้ดีของลูกหมามาด้วย
ราคาที่ว่าสูงแล้วก็ยังขยับสูงขึ้นไปอีก หากลูกหมาตัวนั้นมี "ประกันชีวิต" ยกตัวอย่างพันธุ์ชิวาว่า ราคาทั่วไปตามท้องตลาดอยู่ที่ 6,000 บาท เกรดคุณภาพอยู่ที่ 15,000 บาทขึ้นไป แต่สำหรับชิวาว่าจาก "ทีคัพสวีทโฮม" ค่าตัวเริ่มต้นที่ 3 หมื่นบาทไปถึงแสน กว่าบาท เพราะประกันชีวิต ซึ่งบางตัวมีทุนประกันสูงถึง 80% ของราคาทีเดียว (อ่านรายละเอียดใน "ทีคัพสวีทโฮม : อนุบาลสร้างมูลค่าเจ้าตูบ")
แต่ถ้าบ้านไหนมีหมาสาวอยู่แล้ว ก็อาจเลือกใช้บริการ "รับผสมพันธุ์" จากหมาเพศผู้พันธุ์ดี ซึ่งเจ้าของหมานักรักเหล่านี้ลงประกาศขายบริการไว้ตามนิตยสารหรือเว็บไซต์ สนนค่าน้ำเชื้อจากพ่อพันธุ์ชั้นดีอยู่ที่ราว 3,500 บาทขึ้นไป
นอกจากนี้ยังมีอีกแหล่งที่หลายคนอยากให้เป็นเทรนด์ใหม่สำหรับคนรักหมาอย่างไม่มีเงื่อนไข นั่นก็คือ บ้านพักหมาจรจัด หมาพิการ หรือหมาข้างถนน บางทีอาจได้ ลูกหมาหน้าตาน่าเอ็นดูมาให้เลี้ยงโดยไม่ต้องเสียตังค์แถมยังได้บุญ ทว่าส่วนมากหน้าตาไม่ดี สายพันธุ์ไม่แท้ ขนไม่สวย บางตัวขี้เรื้อนแถมพิการ แต่ก็การันตีได้ว่าพวกมันจะซื่อสัตย์ รักและภักดีกับคนเลี้ยงมากๆ ไม่แพ้ลูกหมามีราคา (อ่านรายละเอียดในเรื่อง "หมาจรจัด : สิ่งมีชีวิตที่น่าสงสาร")
ปัจจัย 4 เพื่อน้องหมา...สินค้าที่หลากหลาย
เริ่มต้นที่ยารักษาโรค...ไม่ว่าจะเป็นลูกหมาที่มีมูลค่าหรือไม่มีราคา ล้วนแต่ต้องได้รับการดูแลไม่ต่างจากทารก คือการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคเมื่อถึงอายุที่กำหนด
วัคซีนที่จำเป็นสำหรับลูกหมา ได้แก่ วัคซีนรวม 5 โรค (โรคหัดสุนัข โรคหวัดและ หลอดลมอักเสบ โรคเลปโตสไปโรซิส โรคตับอักเสบ โรคลำไส้อักเสบ) และโรคพิษสุนัขบ้า จากเข็มแรกเมื่ออายุราว 2 เดือนจน 6 เดือน หมาต้องฉีดวัคซีนอย่างน้อย 6 เข็ม ค่าวัคซีนในโรงพยาบาลสัตว์ของรัฐอาจไม่ถึง 200 บาทต่อเข็ม แต่เอกชนเข็มละ 300 บาทขึ้นไป
อีกทั้งต้องทำโปรแกรมป้องกันพยาธิ หนอนหัวใจ ด้วยการถ่ายพยาธิทางเดินอาหารทุก 6 เดือน พร้อมกับกำจัดเห็บหมัดและยุง ซึ่งเป็นพาหะของโรคพยาธิหัวใจ ซึ่งก็มีค่าใช้จ่ายอีกไม่น้อย
นอกจากนี้การอาบน้ำก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยได้ ทุกวันนี้แชมพูหมาไม่ได้โฆษณาเพียงคุณสมบัติกำจัดเห็บหมัดชะงัก แต่หลายแบรนด์มีคุณสมบัติอื่นๆ พ่วงด้วย เช่น บำรุงขน ทำให้ผิวดี ลดการหลุดร่วงของขน ช่วยปลูกขนทำให้ขนดูหนาขึ้น ด้วย แชมพูหมาหลายแบรนด์มีสารสกัดธรรมชาติ ชั้นดี ไม่ต่างจากแชมพูคนเลยทีเดียว บางขวดมีน้ำมันมะพร้าว บางขวดใช้ข้าวโอ๊ต บ้างก็ใช้สมุนไพรไทย อย่างขมิ้นชัน แตงกวา มะคำดีควาย ดอกอัญชัน ฯลฯ บางยี่ห้อก็ขนใส่ทุกอย่างทั้งสาหร่าย สไปรูลินา ชาโมมายด์ โจโจบา วิตามินอี และอโลเวลา... ดูแล้วคุณสมบัติดีกว่าแชมพูคนบางยี่ห้อเสียอีก ส่วนราคาก็สูงไม่แพ้กัน โดยมีทั้งแบรนด์นำเข้า แบรนด์ในประเทศ และสินค้า OTOP
ผลิตภัณฑ์บำรุงขนหมายังมีทั้งครีม นวดขน โปรตีนบำรุงขน ซิลกี้แฮร์โคทสำหรับหมา โลชั่นบำรุงขน สเปรย์แต่งขนฯลฯ หลากหลายไม่แพ้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมคนเลยทีเดียว
แต่ที่สินค้าคนยังไม่มีมากเท่ากับของหมา ก็คือสินค้าสำหรับคนไม่ชอบอาบน้ำ หมาที่ไม่ชอบอาบน้ำหรือยังอาบไม่ได้ มีทั้งแชมพูอาบแห้ง สเปรย์ขจัดสิ่งสกปรก แผ่นเช็ดตัว แผ่นเช็ดคราบน้ำตา และสเปรย์ดับกลิ่นกายหมา ฯลฯ เป็นทาง เลือก และถ้าอยากให้หมามีกลิ่นกายหอมเย้ายวนก็ยังมีน้ำหอมหมาและโคโลญจ์หมากลิ่นต่างๆ วางขายด้วย
แม้แต่ปากหมาก็ยังมีสินค้ามาดูแลไม่ต่างจากคน ทั้งแปรงสีฟันและยาสีฟันขจัดคราบหินปูน และน้ำยาทำความสะอาด ช่องปากเพื่อให้หมามีลมหายใจสดชื่น นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำยาและอุปกรณ์ทำความ สะอาดใบหู และผิวหนังส่วนอื่นของหมา ออกมาขายอีกมากมายให้เจ้าของได้เสียเงิน
ปัจจัยต่อมา...อาหาร ถือเป็นค่าใช้จ่ายหลักในชีวิตหมาธรรมดา โดยเฉพาะหมาพันธุ์ใหญ่ ที่ไม่ได้ถูกปรนนิบัติราวเจ้าหญิงหรือเจ้าชาย
เมื่อไลฟ์สไตล์การเลี้ยงหมาของคนไทยเลิกคลุกข้าวกับโครงไก่หรือรวมมิตรอาหารเหลือของคนเปลี่ยนมาเป็นอาหารหมาสำเร็จรูป เพราะได้รับข้อมูลจาก สัตวแพทย์ สื่อเพื่อสัตว์เลี้ยง โดยเฉพาะจากผู้ผลิตอาหารหมาที่มักออกมาโฆษณาและประชาสัมพันธ์ย้ำไปย้ำมาว่า อาหารคน มีรสจัดมีเครื่องปรุงรสซึ่งถือเป็นอันตรายกับหมา และมีสารอาหารไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายหมาต้องการ
อาหารหมากว่า 100 แบรนด์ แต่ใจความสำคัญในโฆษณามีไม่กี่เรื่อง เช่น เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง เพื่อความสวยสง่า เพื่อขนสลวยสวยงาม ป้องกันโรคมะเร็งได้ หรือโฆษณาในเชิงอารมณ์ เช่น เพื่อเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ คุณค่าที่หมาที่คุณรักคู่ควร ด้วยความรักและความเข้าใจที่คุณมอบให้ ฯลฯ
การเลือกซื้ออาหารหมาสำหรับเจ้าของมือใหม่ถือเป็นเรื่องน่ามึน นอกจากจะมีสารพัดแบรนด์ทั้งผลิตในประเทศและนำเข้า ยังมีแบบอาหารเม็ด อาหารซอง และอาหารกระป๋อง หรือแบบอาหารแห้ง อาหารเปียก กึ่งแห้งกึ่งเปียก หรือเนื้อบด อีกทั้งยังมีสูตรมากมาย เช่น สูตรสำหรับลูกหมา หมาโต หมาแก่ หมาตั้งท้อง หมาขนยาว หมาขนสั้น หมาไฮเปอร์ และหมาป่วย บางแบรนด์แยกไปอีกว่าป่วยเป็นโรคไต โรคนิ่ว หรือผิวหนังอักเสบบ่อย ฯลฯ แถมยังมีสูตรไดเอต และสูตรเจ
หากเป็นอาหารคน คำว่า "พรีเมียม" หมายถึงเกรดดี ราคาแพง แต่มั่นใจได้ว่ามีคุณภาพสูง แต่ในแวดวงอาหารหมา คำว่า "พรีเมียม" ไม่มีนัยสำคัญนัก เกือบทุกแบรนด์ต่างก็บอกว่าเป็นสินค้าพรีเมียม ต่อมาหลายแบรนด์ขยับอิมเมจให้ดูสูงขึ้นด้วยคำว่า "ซูเปอร์พรีเมียม" ภายหลังก็เลยมีบางแบรนด์ออกมาย้ำว่าเป็น "เรียล-ซูเปอร์พรีเมียม"
"สำหรับอาหารสุนัขนั้น คำว่าของดีและถูกไม่มีในโลกนั้น เป็นเรื่องจริงทีเดียว"สื่อเพื่อสัตว์เลี้ยงฉบับหนึ่งลงไว้
เป็นจริงตามนั้น...เพราะราคาเฉลี่ยของอาหารหมาเกรดพรีเมียมอยู่ที่กิโลกรัมละ 100-200 บาท ส่วนซูเปอร์พรีเมียม 200 บาทขึ้นไป ฟังดูไม่มาก แต่ถ้าคำนวณว่า 1 วัน หมากินปริมาณมากแค่ไหน โดยเฉพาะหมาใหญ่ จะเห็นชัดว่าอาหารเป็นรายจ่ายสำคัญที่คนคิดจะเลี้ยงหมาต้องคิดถึงเป็นอันดับสาม...รองจากความรักและเวลาที่จะต้องมีให้
อาหารหมาแบบแห้งทั่วไป 1 กก. หมาเล็กกินไม่เกิน 5 กก.กินได้เฉลี่ย 10 วัน หมาขนาดกลางไม่กิน 20 กก. กินได้ 2-5 วัน ส่วนหมาใหญ่ 40 กก. ขึ้นไปกินได้ไม่ถึง 2 วัน...ดังนั้นค่าอาหารหมาใหญ่อาจตกวันละ 100 กว่าบาทเลยทีเดียว
จึงไม่ต้องแปลกใจที่เห็นเจ้าของหมาโดยเฉพาะหมาพันธุ์ใหญ่ หอบหิ้วอาหารหมา ทีละหลายกระสอบในงานมหกรรมหมาต่างๆ ก็ไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดแบรนด์อาหารหมาจึงมักเข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในงานหมาต่างๆ ไม่ว่างานเล็กงานใหญ่ เพราะนี่คืออีกช่องทางของยอดขายมหาศาลนั่นเอง
ตัวเลขของสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง พบว่าผู้ประกอบ การในธุรกิจอาหารหมาถือเป็น "ผู้เล่น" รายใหญ่ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ เพื่อสัตว์เลี้ยง ข้อมูลในปี 2550 ตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสัตว์เลี้ยงมีมูลค่ารวม เกือบ 6,000 ล้านบาท จำนวนนี้เป็นของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์กว่า 60% ตามมาด้วยยา เวชภัณฑ์ และอาหารเสริมราวอีก 20% โดยมีการคาดเอา ไว้ว่าไม่ต่ำกว่า 90% เป็นสินค้าเพื่อหมาและแมว โดยสัดส่วนของแมวยังน้อยกว่าหมาหลายเท่า
ไม่เพียงอาหาร เจ้าของหลายคนยังนิยมซื้อขนมขบเคี้ยวให้หมา หลายแบรนด์กินเล่นแล้วยังได้ประโยชน์ บำรุงกระดูก ขัดฟัน ป้องกันหินปูน กินแล้วไม่อ้วน ไม่เป็นมะเร็ง ฯลฯ ผิดกับสแน็คของคน
ขนมหมาก็มีทั้งแบรนด์ไทยแบรนด์เทศ มีให้เลือกทั้งแบบบิสกิต แท่งเวเฟอร์ แท่งตรง แท่งบิด รูปกระดูก รูปเรขาคณิต รูปตัวเอ็กซ์ รูปพิซซ่า ฯลฯ โดยเกือบทุกชิ้นมีราคาแพงกว่าขนมขบเคี้ยวของคนด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ก็ยังมีเบเกอรี่โฮมเมดสำหรับหมา อย่างแบรนด์ "woof woof" ที่เข้ามา เพิ่มรสชาติในชีวิตให้หมา ไม่ว่าจะเป็นพายฟักทอง สปิแนคผักโขม พิซซ่าหน้าแซลมอน และเกรวี่กึ่งสำเร็จรูปสำหรับปรุงรสให้อาหารหมา ของหวานมีไอศกรีมรสต่างๆ ทั้งรสตับและรสฟักทอง โดยไม่ต้องห่วงเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ เพราะผลิตด้วยความรักหมา จากพ่อครัวที่จบทางด้านสัตวศาสตร์ผู้มีประสบ การณ์ด้านโภชนาการอาหารสัตว์มาก่อน
เสื้อผ้า เป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่หลายคนมักไม่เชื่อว่ามีความจำเป็นสำหรับหมา
"จริงๆ เสื้อผ้าหมาเริ่มต้นมาจากความจำเป็น เช่น กันหนาว กันหมาเลียแผลกันยุง ฯลฯ แต่เมื่อ 7-8 ปีก่อน เราเปลี่ยนกระบวนทัศน์ให้เสื้อผ้าหมาเป็น fashionable things เพราะเรามองว่าแฟชั่นเป็น movement ถ้าสินค้าเรามีจุดขายที่แฟชั่นก็จะขายได้ ทุกวันทุกโอกาส เหมือนแฟชั่นคน" ชาญชัย ชัมพาลี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท Pet Specialist เจ้าของแบรนด์ PUPPE บอก
จากบริษัทเล็กๆ นำเข้าสินค้าหมาเมื่อ 17 ปีก่อน วันนี้ Pet Specialist กลายเป็น ผู้ผลิตและส่งออกเสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับหมาที่ใหญ่ติด 1 ใน 3 ของประเทศ ภายใต้แบรนด์ PUPPE ซึ่งมีทั้งเสื้อผ้า ที่นอน กระเป๋า หมวก รองเท้า ชูชีพ สายจูง ปลอกคอ ฯลฯ และยังเป็นผู้นำเข้าอุปกรณ์กรูมมิ่งมาตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีก่อน
ราคาเสื้อผ้าหมามีตั้งแต่แบบเรียบ 100 กว่าบาท และมีดีเทลมาก 400-600 บาทขึ้นไป ส่วนรองเท้าหมาเฉลี่ย 4 ข้าง 500 บาทขึ้นไป แต่ถึงราคาจะสูงขนาดนี้ก็ยังมีเจ้าของ ไม่น้อยที่รักการแต่งตัวให้หมามากจนยอมซื้อทุกคอลเลกชั่น หลายคนบอกว่าการติดตาม แฟชั่นหมาถือเป็นอีกความสุขและความบันเทิง
ในงานมหกรรมหมาใหญ่ๆ จึงมีทั้งภาพเจ้าของหมาใหญ่ที่ยุ่งอยู่กับการหอบหิ้วอาหารหมา และภาพเจ้าของหมาเล็กที่วุ่นวายอยู่กับกระบะเสื้อผ้าหมาลดราคา...อารมณ์เหมือนตอนที่เธอเหล่านั้นกำลังสนุกกับการรื้อกระบะเสื้อผ้าแบรนด์เนมช่วงมหกรรมลดราคาตามศูนย์การค้าใหญ่ๆ
"5 ปีก่อนคนเห็นหมาใส่เสื้อแล้วขำ แต่วันนี้หมาใส่เสื้อไม่ดูตลกอีกต่อไป ยอมรับ ว่าหลายคนใส่เสื้อให้หมาเพราะแฟชั่น บางคนเลือกเสื้อหมาให้เข้ากับชุดของตน ส่วนบางคนก็ตัดชุดของตนให้เป็นแบบเดียวกับชุดหมาเพราะเหตุว่าร้านตัดชุดหมาหายากกว่า ท้ายสุด แฟชั่นหมาก็เป็นอะไรที่ตอบสนองความสุขเจ้าของมากกว่า" ชาญชัยสรุป
นอกจากนี้ Pet Specialist ยังสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาอีกแบรนด์ "Elite" ถูกวางให้เป็นแบรนด์พรีเมียมผลิตสินค้า customized เป็นหลัก เช่น ชุดแต่งงานหมาและเสื้อผ้า หรืออุปกรณ์ขนาด oversize สำหรับหมาอ้วน เป็นต้น
ดีไซเนอร์ของ PUPPE ทุกคนจบหลักสูตรดีไซเนอร์เสื้อผ้า บางคนจบมาไกลจากอิตาลีทีเดียว สิ่งหนึ่งที่พวกเขาต้องทำให้เป็นนิสัย นั่นก็คือ ติดตามเทรนด์แฟชั่นของคนและตามติดกระแสนิยมพันธุ์หมาในท้องตลาด แต่ที่สำคัญที่สุดคือพยายามเข้าถึงจิตใจเจ้าของหมาให้มากที่สุด เพื่อผลพลอยได้ที่จะตกแก่หมาคือความสุข
"เมื่อเห็นว่าหมาใส่เสื้อแล้วดูน่ารักขึ้น เจ้าของก็จะเข้าไปกอดและสัมผัสมากขึ้น หมาก็จะรู้สึกว่าพอมีเสื้อแล้วจะได้รับการดูแลเอาใจใส่มากขึ้น หมาก็จะมีความสุข มันก็เลยมั่นใจว่าจะได้ความรักทุกครั้งที่ใส่เสื้อ" ชาญชัยตอบคำถามที่ว่าหมาใส่เสื้อผ้าแล้วมั่นใจขึ้นจริงหรือ?
ชาญชัยยังทิ้งท้ายว่า ประเทศไทยมีศักยภาพพอที่จะเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออก "การ์เมนต์" สำหรับสินค้าหมาเกรดพรีเมียมออกไปขายทั่วโลกได้ หากมีนโยบาย ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจัง
ไม่เพียงแฟชั่นเสื้อผ้า เจ้าของหมายังมีแฟชั่นเครื่องประดับของหมาให้คอยตามเทรนด์ ดีไซเนอร์ผู้รักหมาหลายคนหันมาเอาดีด้านการออกแบบเครื่องประดับหมา เพราะเห็นโอกาสของตลาด Dog Lover ที่เหมือนจะยังมี "รูม" มากกว่าแฟชั่นเครื่องประดับคน แต่ถึงจะเป็นสินค้าหมา บางแบรนด์ลงทุนนำคริสตัลมาประดับบนตัวหมากันเลยทีเดียว ราคาจึงมีตั้งแต่หลักสิบถึงหลักหมื่น...แพงไม่แพ้ของคน
ปัจจัยสุดท้าย ที่อยู่อาศัย โดยทั่วไป อาณาเขตของหมาอาจอยู่แค่บริเวณนอกบ้าน หรือไม่ก็รวมพื้นที่ในบ้านชั้นล่าง แต่บางตัวอาจเลยเถิดไปถึงห้องนอนและเตียง นอนของเจ้าของ แต่ถึงอย่างนั้นธุรกิจวิมาน เจ้าตูบก็ยังมีสินค้าให้เลือก ทั้งที่นอน เตียง เต็นท์นอน บ้านหมา มีทั้งแบบธรรมดา และนาโนป้องกันกลิ่นอับ อีกทั้งยังมีแบบติดแอร์ ให้เลือก ส่วนหมาที่นอนนอกบ้านก็มีกรงเป็นอาณาจักร ทั้งนี้ราคาก็มีตั้งแต่หลักร้อย ถึงกว่าครึ่งแสน ขึ้นอยู่กับขนาดและดีไซน์ รวมถึงความสบายที่เจ้าตูบจะได้รับ
สำหรับหมาที่ต้องนอนนอกบ้าน ปัญหาที่เจ้าของกังวลก็คือเรื่องยุง ซึ่งเป็นพาหะโรคพยาธิหัวใจ ดังนั้น หลายบ้านหา มุ้งเล็กเพื่อหมามากางให้ บางคนลงทุนจุด ยากันยุงหมาให้หมา โดยผู้ผลิตเคลมว่าผ่าน วิจัยแล้ว รับรองไม่มีกลิ่นฉุนมาทำให้หมาหงุดหงิด หรือเป็นอันตราย...ความสบายใจ นี้ต้องแลกกับเงิน 10 กว่าบาทต่อขด
ยุคหมาเป็นใหญ่ในบ้าน...
บริการหมามาแรง
"ธุรกิจเกี่ยวกับหมาวันนี้ มันไม่ใช่ยุคของผู้ผลิตอีกต่อไปถึงยุคบริการแล้ว มันต้องต่อยอดมาทางนี้" อนุพันธ์ บุญชื่น กล่าวในฐานะเจ้าของธุรกิจเกี่ยวกับหมาและอยู่ในวงการนี้มานานกว่า 10 ปี
ธุรกิจที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักคือการนวดแผนไทยให้หมา แต่ทว่าเขาดังเป็นพลุแตกไปทั่วโลกทันที เมื่อเขาบ้าพอ ที่จะนั่งเห่าหอนหน้าไมค์และคอมพิวเตอร์ เพื่อจัดรายการวิทยุออนไลน์ให้หมาฟังเป็นคนแรกของโลก (อ่านรายละเอียดเรื่อง "ธุรกิจหมาแบบนอกกรอบ ต้องมีความบ้า") ความเห็นของอนุพันธ์สอดคล้องกับ น.สพ. การุณ ชัยวงศ์โรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเพ็ทแทรคไทย จำกัด (ศูนย์ติดตั้งไมโครชิพสัตว์), บรรณาธิการอำนวยการนิตยสาร Dogazine และ Cat Magazine, เจ้าของคลินิก "ศูนย์สุขภาพสัตว์เลี้ยง Pet Mall" และเจ้าของโครงการ "Pet City" ศูนย์รวมสินค้า บริการ และข้อมูลความรู้เพื่อคนรักสัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย บนพื้นที่ 9 พันตารางเมตร หลังจากคิดคอนเซ็ปต์นานถึง 2 ปี ก็จะเปิดตัวเร็วๆ นี้
"แม้คนเลี้ยงจะมีมากขึ้น แต่ตลาดธุรกิจสุนัขชั่วโมงนี้ไม่ง่ายเลย เพราะทั้งฟาร์มและร้านเพ็ทช็อปที่มีมากมายต่างก็แข่งกันลดราคา วงการไหนก็ตามที่มีการตัดราคากันเยอะ วงการนั้นก็เจ๊งเร็ว ผมว่าวันนี้ธุรกิจบริการเท่านั้นที่ยังพอทำกำไรได้ดี และทำกำไรได้สูงอยู่" น.สพ.การุณกล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจเจ้าตูบ
นี่อาจเป็นเหตุให้ระยะหลังร้านเพ็ทช็อปพากันขยายไลน์สู่ธุรกิจบริการเพื่อเจ้าตูบ ส่วนคนที่เข้ามาทีหลังส่วนใหญ่ก็หันมาเอาดีกับธุรกิจบริการหมา หลายแห่งเปิดเป็นศูนย์บริการแบบครบวงจรซึ่งเห็นได้หลายแห่งทั่วกรุงเทพฯ โดยกรูมมิ่งถือเป็นบริการ แรกๆ ที่ผู้ประกอบการนึกถึง
"ถ้าคุณเปิดร้านตัดขนวันนี้ ไม่มีใครเจ๊ง ยกเว้นจะบริการไม่ดี ผมมักจะบอกลูกศิษย์ เสมอว่าเปิดร้านตัดขนธรรมดาๆ เป็นเรื่องง่ายมาก การเปิดโรงเรียนยากกว่าซะอีก จะมีคนสักกี่คนคิดมาเรียน แต่ผมยังอยู่ได้ ฉะนั้นร้านตัดขนก็ต้องอยู่ได้" ครั้งนี้อนุพันธ์ กล่าวในฐานะเจ้าของสถาบันสอนตัดแต่งขนและสปาสุนัข ที่ชื่อว่า "Dog2home"
ในเว็บไซต์ของสถาบัน อนุพันธ์นำเสนอข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงรายได้งามของธุรกิจกรูมมิ่ง ดังต่อไปนี้
...การเปิดร้านกรูมมิ่งใช้เงินก้อนแค่ ครั้งเดียว ทั้งค่าเรียนและค่าอุปกรณ์เปิดร้าน เช่น ปัตตาเลี่ยน กรรไกรตัดขน กรรไกรตรง กรรไกรซอย กรรไกรโค้ง โต๊ะตัดขน ฯลฯ ส่วนรายได้ค่าอาบน้ำตัดขนหมาเฉลี่ยตัวละ 350 บาท ไม่นับค่าแรง ต้นทุนเพียง 50 บาท เหลือเป็นกำไร 300 บาทต่อตัว ถ้าวันหนึ่ง คุณทำ 10 ตัว ได้กำไร 3,000 บาท เดือนหนึ่ง 9 หมื่นบาท หรือเลวร้ายสุดคุณทำเงิน ได้แค่ครึ่งเดียวก็ยังมีรายได้ถึง 45,000 บาท ทำอาชีพอะไรจะได้เงินขนาดนี้...
"พฤติกรรมผู้เลี้ยงสุนัขเปลี่ยนไป คนนิยมเลี้ยงสุนัขเหมือนลูกจึงต้องการให้สุนัขดูดี รวมทั้งความนิยมเลี้ยงสุนัขพันธุ์เล็ก ซึ่งสุนัขพันธุ์เล็กต้องพาไปอาบน้ำและ ตัดขนบ่อยๆ ซึ่งธุรกิจตรงนี้จะไม่เน้นการแข่งขันเรื่องราคา แต่เน้นที่คุณภาพบริการ" น.สพ.การุณอธิบายเหตุผลว่าทำไมธุรกิจนี้ จึงไปได้ดี
ต้นน้ำของธุรกิจนี้ไม่เพียงสร้างรายได้กับผู้ผลิตและนำเข้าสินค้ากรูมมิ่ง โรงเรียนสอนตัดแต่งขนก็เป็นอีกธุรกิจที่ได้รับอานิสงส์อย่างมาก โดยหลักสูตรขั้นต้นสำหรับโรงเรียนในประเทศค่าเรียนตั้งแต่หลักพันปลายๆ จนถึงเกือบ 3 หมื่นบาททีเดียว แต่บางคนก็ลงทุนบินไปเรียนไกลถึงนิวยอร์กกันเลยทีเดียว
ไม่ใช่ทุกคนที่เรียนเพื่อไปเปิดร้านกรูมมิ่ง คนเลี้ยงหมาไม่น้อยที่เรียนเพื่อกลับไปอาบน้ำตัดขนให้หมาตัวเอง เพื่อที่จะได้มีช่วงเวลาแห่งความสุขด้วยกัน และยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะ
เทรนด์กรูมมิ่งในเมืองไทยวันนี้ ไม่ใช่เพียงอาบน้ำตัดขนธรรมดาอีกต่อไป แต่พัฒนา ไปถึงขั้นแต่งขน ย้อมขน และเซ็ตขนหมากันแล้ว มีทั้งแนวแฟนซีที่เปลี่ยนจากหมาพุดเดิล สีขาวเป็นหมาลายเสือโคร่งหรือไอ้แมงมุม (หมา) แนวลำลองด้วยการทำไฮไลต์สีขนหรือทำขนทรงพังก์ให้หมา และการย้อมสีขนหมาแก่ให้ดูหน้าเด็ก...เรียกว่าคนกระชากวัยด้วย การย้อมผมได้ หมาก็ย้อมขนกระชากวัยได้เหมือนกัน
"เหมือนผมคนเลย วันไหนอยากจะดีไซน์ให้เป็นทรงไหนก็ได้ ทุกอย่างเป็นไปได้หมดทั้งคนและสุนัข ถ้าแต่งขนสุนัขแบบไหน เจ้าของก็แต่งแบบเดียวกัน ไปไหนมาไหนด้วยกันก็ดูเก๋ไก๋ดี" สาธิต สุรัตพิพิธ เป็นผู้บริหารโรงเรียนสอนศิลปะตัดแต่งขนสตาร์วู๊ด เจ้าของผลงานแฟชั่นแฟนซีหมาที่โชว์บนรันเวย์ Pet Fashion Week ที่นิวยอร์กมาแล้ว บอก
ร้านกรูมมิ่งหลายแห่งมักมีสปาหมาเสริมด้วย แน่นอน! การนวดหมาก็มีหลายแบบ เหมือนนวดคน ไม่ว่าจะเป็นนวดอโรม่าด้วยน้ำมันกลิ่นต่างๆ เช่น กลิ่นลาเวนเดอร์ หรือกลิ่นซิตรัส ฯลฯ, นวดสปา ONZEN หรือการให้หมาแช่น้ำอุ่นและนวดสไตล์ญี่ปุ่น และการนวดแผนไทยหมา ซึ่งผู้นวดควรความรู้เรื่องสรีรภาพของหมาแต่ละพันธุ์เสริมด้วย ฯลฯ
ค่านวดเฉลี่ยชั่วโมงละ 500-1,500 บาท หรือคอร์สละ 2,000-2,500 บาทขึ้นไป... แพงไม่แพ้ของคนทีเดียว
ศูนย์ฝึกหมาหรือโรงเรียนฝึกหมาเป็นอีกธุรกิจที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะการฝึกหมาให้มีนิสัยดีและเชื่อฟังคำสั่งเจ้าของ พอเข้าสังคมได้ ตลอดจนโชว์ความน่ารักได้ เหล่านี้เป็นอีกค่านิยมมาแรงในการเลี้ยงหมายุคนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของที่เชื่อว่าหมาส่วนใหญ่ชอบเข้าสังคม...เหมือนตัวเอง
ทั้งนี้ ศูนย์ฝึกหมามักจะไม่เปิดโดดๆ ส่วนใหญ่จะมีบริการอื่นเสริมแบบครบวงจร เช่น เพ็ทช็อป กรูมมิ่ง โรงแรมหมา สระว่ายน้ำหมา ฟิตเนสหมา ฯลฯ
มักมีคนตั้งคำถามว่ามีความจำเป็นอะไรที่เจ้าตูบควรถูกส่งไป "ดัดสันดาน"อรรถาธิบายข้างล่างนี้เป็นเพียงหนึ่งคำตอบซึ่งคัดลอกมาจากเว็บไซต์ของศูนย์ฝึกฯ แห่งหนึ่ง
...เราต้องเลี้ยงหมาเพื่อความเพลิดเพลิน ไม่ใช่เลี้ยงเพื่อสร้างความรำคาญและรู้สึกว่าเป็นภาระกับชีวิตเรา สิ่งที่สำคัญคือ หมาต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของเรามากกว่าอย่างอื่น ต้องเรียนรู้สิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และเรียนรู้ที่จะทำตามคำสั่งเจ้าของ เพื่อที่หมาตัวนั้นจะมีชีวิตที่เหลือต่อไปกับเจ้าของอย่างมีความสุข...
โดยทั่วไป หลักสูตรฝึกสุนัขแบ่งได้กว้างๆ คือ ฝึกลูกสุนัขให้ขับถ่ายเป็นที่ เข้าสังคมได้ และฟังคำสั่งเล็กๆ น้อยอย่างนั่ง-ชิด-หมอบ-คอย, ฝึกเชื่อฟังคำสั่งเพื่อโชว์ความ น่ารัก เช่น สวัสดี เดินสองขา คาบตะกร้า ฯลฯ ฝึกให้ฟังคำสั่งเพื่อโชว์ความสามารถ เช่น กระโดดลอดบ่วง ข้ามเครื่องกีดขวาง ปิดตาเดินบนคาน ฯลฯ และฝึกเพื่อแก้ไขพฤติกรรม นอกจากนี้ยังมีคอร์สพิเศษ เช่น ฝึกเป็นสุนัขอารักขา สุนัขตำรวจ หรือสุนัขบำบัด เป็นต้น ค่าเล่าเรียนของเจ้าตูบขึ้นอยู่กับขนาดของหมา หลักสูตรที่เรียนและระยะเวลาที่ใช้ในการเรียน (ขึ้นอยู่กับศูนย์ฝึกฯ) ซึ่งมีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น...กว่าจะจบจนเป็นดาราหมาแสนรู้เหมือนตัวอื่นๆ เจ้าของอาจต้องจ่ายหลายแสน
"ที่เจ้าของพาหมามาศูนย์ฝึกฯ กันมาก ก็เพราะว่าทุกวันนี้ คนเราเลี้ยงหมาเป็นเพื่อน แล้วก็อยากคุยกับหมาให้รู้เรื่องมากขึ้น" ชมพูพรรณ กังสะนันท์ กล่าวในฐานะครูฝึก ลูกสุนัขแห่งศูนย์ฝึกสุนัขด็อกเตอร์เพ็ท และยังเป็นเจ้าของหมาที่ทั้งดื้อและซนอีกกว่า 20 ตัว
ศูนย์ฝึกสุนัขด็อกเตอร์เพ็ทเป็นบริการหนึ่งในโครงการ Pet Paradise Park บนเนื้อที่ 7.5 ไร่ ถือเป็นศูนย์รวมบริการที่หลากหลายเพื่อ "น้องหมา" ทั้งโรงแรมหมา สระว่ายน้ำหมา เพ็ทมาร์ท และร้านอาหารสำหรับเจ้าของหมา เพื่อใช้เป็นที่นั่งคอยหมาเข้าทำ กิจกรรมต่างๆ รวมถึงมีลานวิ่งริมทะเลสาบไว้ให้เจ้าของกับหมาวิ่งออกกำลังร่วมกันเปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2547 โดยขยายมาจากธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ "ด็อกเตอร์เพ็ท" ที่มีพื้นที่เพียงไร่กว่า เพื่อรองรับกับการขยายตัวของศูนย์ฝึกและในฐานะลูกคนเดียว ชมพูพรรณ จึงบินไปเรียนที่ออสเตรเลีย หลักสูตร Certified Instructor of Dog Obedience Training จาก Command Dog Training School โรงเรียนสอนผู้ฝึกหมาโดยเฉพาะเพื่อกลับมาเป็นครูฝึกสอนลูกหมา และเป็นครูสอนครูผู้ฝึกหมาอีกที
"ก่อนไปเรียน หมาของเราเสียนิสัย ทุกตัว พอเรียนแล้วรู้เลยว่าเราทำให้พวกเขานิสัยเสีย ดังนั้นคอร์สที่นี่เราจะฝึกสอนเจ้าของด้วย เพราะส่วนใหญ่หมาที่นิสัยเสีย เพราะคนเลี้ยงไม่เป็น" ชมพูพรรณกล่าว
ปัจจุบัน Pet Paradise Park มีสมาชิกกว่า 3 พันคน เจ้าของหนึ่งคนมีหมา เฉลี่ย 2-3 ตัว สำหรับค่าสมัครสมาชิกราย 6 เดือน 600 บาท ส่วนรายปี 1,000 บาท โดยหมาที่เพิ่มมาจากตัวแรกเสียเงินเพิ่มตัวละ 50 บาท
โรงแรมรับฝากหมาเป็นอีกบริการที่สร้างรายได้ดีและดีมากๆ ในช่วงเทศกาล หยุดยาว ค่าห้องเฉลี่ยอยู่ที่คืนละ 250-1,000 บาทขึ้นไป อยู่ที่ว่าเจ้าของจะเลือกแบบกรงหรือห้องพักซึ่งมีทั้งเตียงนอน หมอน และของเล่นพร้อม จะเลือกให้หมานอนตากพัดลม หรือแอร์
สระว่ายน้ำหมาถือเป็นบริการที่ศูนย์ ฝึกทุกแห่งต้องมี เพราะทุกวันนี้เจ้าของหันมาใส่ใจสุขภาพหมามากขึ้นและนิยมพาหมาไปออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ เพื่อสุขภาพแข็งแรง ลดความอ้วน และแก้ไขข้อสะโพกเสื่อม อันเป็นปัญหาของหมาใหญ่ สระว่ายน้ำ จึงสร้างรายได้อย่างงามให้ศูนย์ฝึกเกือบทุกแห่ง
โดยส่วนใหญ่สระว่ายน้ำหมาใช้ระบบกรองและฆ่าเชื้อมาตรฐานเดียวกับสระของคน ค่าใช้สระเริ่มต้นที่ 200 บาทต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับน้ำหนักหมาและช่วงเวลาที่ใช้บริการ ส่วนเจ้าของเสียเพิ่ม 50 บาทถ้าอยากลงเล่นน้ำกับหมา
เพราะสระว่ายน้ำหมาเป็นบริการที่หมาใช้ประจำ หลายแห่งจึงพยายามสร้างความแตกต่างขึ้นมาเป็นจุดขาย ท่ามกลาง การแข่งขันในบริการนี้ เช่น สร้างสระว่ายน้ำระบบเกลือ สร้างอ่างจากุซซี่ บางแห่งโฆษณาว่าสามารถติดตามดูหมาเล่นน้ำทาง อินเทอร์เน็ตและมือถือได้ เพื่อดึงดูดใจเจ้าของที่ไม่มีเวลามานั่งเฝ้าหมาด้วยตัวเอง
นอกจากนี้ศูนย์ฝึกบางแห่งยังมีเครื่องออกกำลังกายระบบเดียวกับฟิตเนสของคนไว้ให้หมาได้ใช้อีกด้วย
ไม่เพียงรายได้จากค่าบริการ ศูนย์ฝึกหลายแห่งยังหารายได้จากหมาที่ฝึกมาเป็นอย่างดี ด้วยการพาหมาไปโชว์ตัวในงาน หมา หรือพาไปรับงานหนัง ละคร และโฆษณาบ้าง...ว่ากันว่า ค่าตัวต่อตอนไม่ต่ำกว่าหมื่นบาทแต่ที่ได้มากกว่าเงินก็คือความ ภูมิใจ และศูนย์ฝึกยังได้โปรโมตชื่อไปด้วย
"ความยากของธุรกิจนี้คือขาดแคลนบุคลากร เพราะคนที่จะเข้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างแรกต้องรักหมา เพราะหมาที่มาที่นี่แต่ละตัวเจ้าของรักมาก ไม่เช่นนั้นคงไม่พามา ฉะนั้นบริการต้องดีมากๆ พนักงานที่นี่เลยต้องดูแลหมาให้เหมือนลูก บางคนก็รับไม่ได้ว่าทำไมต้องขนาดนั้น เราก็เลยรับเขาทำงานไม่ได้" ชมพูพรรณเชื่อว่านี่เป็นปัญหาของหลายศูนย์ฝึก
นอกจากร้านค้าและร้านบริการเกี่ยวกับหมา ดูเหมือนว่าจะหาสถานที่อื่นที่ยินดีต้อนรับเจ้าสี่ขาพวกนี้ไม่ง่ายนัก โดย เฉพาะร้านอาหาร ศูนย์การค้า โรงแรม ร้านกาแฟ หรือสวนสาธารณะหลายแห่งติดป้าย "ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้า"
ดังนั้น สถานที่ใดที่ไม่มีป้ายห้าม แถมยังแปะป้าย "Welcome Dog/Pet" สถานที่แห่งนั้นย่อมมีพลังดึงดูดใจและกลายเป็นชุมชนของคนรักหมาได้ไม่ยาก... บางสถานที่ เช่น ศูนย์การค้าและโรงหนัง จึงมักจัดอีเวนต์เกี่ยวกับหมาเพื่อใช้เป็นกลยุทธ์เพิ่มจำนวนลูกค้า โดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจฝืดเคือง
"ผมรู้ดีว่าคนเลี้ยงหมามักจะถูกกีดกันไม่ให้พาหมาเข้า เวลาไปทำธุระก็ต้อง ทิ้งเขาอยู่บ้าน หรือเวลาพาหมาไปอาบน้ำตัดขน เราก็ต้องมานั่งคอยอย่างเซ็งๆ ผมจึงอยากสร้างสถานที่ที่คุณแม่มาทำเล็บ คุณพ่อมานั่งดื่มกาแฟ คุณลูกมากินไอศกรีม ระหว่างรอเจ้าตูบอาบน้ำตัดขน ทำให้เป็น one stop ที่ทุกคนในครอบครัวรวมทั้งเจ้าตูบได้ใช้เวลาร่วมกันโดยไม่ต้องมีใครเสียสละ" ธเนศ กิตติกนกกุล กล่าวในฐานะ เจ้าของโครงการ Ozono Plaza ชอปปิ้งมอลล์ย่านสุขุมวิท 39
Ozono มีพื้นที่ 5 ไร่ ภายในมีทั้งโซนที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคน เช่น ร้าน อาหาร ไวน์บาร์ ร้านไอศกรีม ร้านเฟอร์ นิเจอร์ หอศิลป์ ร้านทำเล็บ ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น ธนาคาร เป็นต้น และโซนเพื่อไลฟ์สไตล์ของหมา เช่น ซาลอนและสปาหมา โดยช่างญี่ปุ่น โรงเรียนฝึกหมาโดยครูฝึกชาวอเมริกัน โรงแรมรับฝากหมา และบูติก ชอปขายสินค้ามีดีไซน์และสินค้า made-to-order เพื่อเจ้าตูบและเจ้าเหมียว
สำหรับคนรักหมา ความพิเศษของชอปปิ้งคอมเพล็กซ์แห่งนี้ คือทุกร้านและทุกอณูของที่นี่ยินดีเปิดประตูต้อนรับเจ้าตูบเกือบทุกพื้นที่ ยกเว้นโซนสวนหย่อมแบบปิดที่ชื่อ "Petropolis Park" ซึ่งเป็นสวนกลางเมืองที่มีวางภูมิสถาปัตย์เอาไว้อย่างสวยงาม ในเนื้อที่ 2 ไร่ เต็มไปด้วยต้นไม้ไทยโบราณหลากหลาย เช่น ต้นแสงทอง ต้นมะสัง ต้นจิก ต้นกร่าง
Petropolis Park เปิดรับเฉพาะหมา วีไอพีที่มีบัตรสมาชิกเท่านั้น โดยค่าสมาชิก รายปีสำหรับเจ้าตูบเพื่อใช้บริการใน Petropolis Park เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์อยู่ที่ 3 หมื่นบาท หากใช้บริการในวันธรรมดา โดยเลือกได้เพียง 2 ใน 4 วัน (ปิดปรับปรุง สวนวันจันทร์) อยู่ที่ 2 หมื่น แต่ถ้าจะเลือกแบบใช้บริการวันไหนก็ได้ ต้องจ่ายถึง 5 หมื่นบาท...ส่วนเจ้าของที่ทุนน้อย แค่ปล่อยหมาวิ่งเล่นที่สนามหญ้ากลางโครงการ ก็พอแทนกันได้
"หลายคนคิดว่าผมทำธุรกิจกับสุนัข โดยตรง แต่ผมบอกว่าไม่ใช่ ผมมองเจ้าของ เป็นหลัก ดูว่าพวกเขามีไลฟ์สไตล์อย่างไร คาดหวังอะไรให้ตัวเองและสัตว์เลี้ยง เจ้าของสุนัขเหล่านี้จะมีความสุข เมื่อสุนัขของเขามีความสุข พวกเขาจะไว้ใจและประทับใจเรา เมื่อสุนัขของเขาได้รับการเอาใจใส่ดูแลอย่างดี" สิ่งที่ธเนศพูดไปคนที่ไม่รักหมาอาจไม่เข้าใจ
นับจากวันที่เปิดตัวเมื่อกลางปี 2549 เป็นเวลา 2 ปีกว่าที่ธเนศได้เห็นว่า กลุ่ม Dog Lover ยังมีอีกมากและหลายคนยังคงมองหาสถานที่ใหม่ๆ ที่เขากับหมาจะใช้เวลาร่วมกันได้ แต่หลายสถานที่ก็ยังไม่เอื้อให้พวกเขาไปใช้บริการ
ว่ากันว่า เจ้าของหมาที่รักหมาเยี่ยง ลูกมักไม่ค่อยได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด หรือได้ไปเที่ยวแต่ก็ไม่สนุกเพราะมัวแต่ห่วงหมาที่บ้านหรือโรงแรมรับฝากหมา บางคน ทนไม่ไหวพาหมาเที่ยว เจ้าของหมาเล็กก็แอบเอาหมาเข้าโรงแรมพอได้ แต่เจ้าของ หมาใหญ่ก็ต้องไปแบบ "ตายเอาดาบหน้า" ต้องเดินถามโรงแรมแต่ละแห่งว่าให้หมาพักหรือไม่ ถ้าไม่ก็คือหาต่อไป
ทัวร์พาหมาเที่ยวจึงเป็นอีกช่องทาง ของธุรกิจหมาวันนี้ มีหลายบริษัทที่ลุกขึ้นมาทำทัวร์พาหมาเที่ยว แต่ชื่อที่หลายคนคุ้นหูคงหนีไม่พ้น "พาตูบเที่ยวไทย" จัดโดย Dogazine นิตยสารที่ให้ความรู้เกี่ยวกับหมาโดยเฉพาะ ซึ่งเปิดมากว่า 4 ปี
น.สพ.การุณย้ำว่าเป้าหมายของทัวร์ พาตูบฯ เพื่อสร้างกิจกรรมสัมพันธ์กับผู้อ่าน เพื่อเป็นทริปต้นแบบสอนให้คนเลี้ยงหมาเที่ยวอย่างถูกวิธี ส่วนเรื่องกำไร เขาออกตัว ว่าไม่ได้ต้องการมากมายเพียงแค่ให้พอมีเป็นกำลังใจให้ทีมงานดำเนินการต่อได้
ทัวร์ครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ 13 มีชื่อตอนว่า "พาตูบไปปลูกต้นไม้" จุดหมายคือ ริมหาดระยองอันเงียบสงบ ไม่เพียงพาหมา ไปปลูกป่า อีกกิจกรรมที่มีสีสันไม่แพ้กันคือพาหมาดำน้ำดูปะการัง ราคาแพ็กเกจ 6,900 บาทต่อทีม 4 คน โดยหมาไม่เสียค่าใช้จ่าย มีแต่ของแถมเป็นอาหารหมาและยากำจัดเห็บหมัดใช้ฟรีตลอดทริป นอกจากค่าน้ำมันรถที่ต้องขับเอง เรียกว่าแพ็กเกจราคานี้รวมทุกอย่างจริงๆ แม้แต่อุปกรณ์และถุงพลาสติกเก็บมูลหมา พร้อมด้วยความรู้ในการเตรียมตัวพาหมาเที่ยวตั้งแต่ก่อนออกเดินทาง
เจ้าของหมาหลายคนบอกว่า ต่อให้ แพงกว่านี้อีกหน่อย พวกเขาก็ยอมจ่ายเพื่อให้ตูบได้ไปเที่ยวด้วย เพราะถ้าตูบไปไม่ได้ก็หมายความเขาเองก็อดเที่ยวไปด้วย
ทริปพาตูบฯ ครั้งแรกจัดขึ้นในปี 2549 จากผู้ร่วมทริปเพียงไม่กี่สิบชีวิต แต่ไม่นานลูกทัวร์ก็เพิ่มมาเป็นครั้งละร่วม 200 ชีวิตทั้งคนและหมา โดยเกือบครึ่งเป็น ขาประจำ จากที่เคยจัด 2 ครั้งต่อปี นับแต่ ปี 2550 ก็เรียกได้ว่าทัวร์พาตูบฯ เดินทางกันแบบเดือนเว้นเดือนทีเดียว...
เพราะเห็นว่ากลุ่ม Dog Lover เป็น อีกตลาดที่มีศักยภาพเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจึงลงมาร่วมสนับสนุน และเมื่อ เห็นว่ากระแสตอบรับดี ททท.ก็เลยวางแผนจะขยายไปสู่ตลาด Cat Lover ด้วย
อีกแรงสำคัญในการสนับสนุนทัวร์พาตูบคือ แบรนด์สินค้าหมา ประกอบด้วย อาหารหมา ยากำจัดเห็บหมัด และเสื้อผ้าหมา แลกกับการมีป้ายแบรนด์ตนโฆษณา ทีมงานกล่าวถึงชื่อแบรนด์บ่อยๆ และได้นำ สินค้ามาจัดวางและเป็นของรางวัลให้กับลูกทัวร์...ถือเป็นช่องทางเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าสี่ขาได้ลองลิ้มสินค้าตน
นอกจากบริษัทนำเที่ยวคนที่หันมาจัดทริปพาตูบฯ กันมากขึ้น อีกกลุ่มธุรกิจที่มีการปรับตัวรองรับตลาดกลุ่ม Dog Lover มากไม่แพ้กันก็คือ โรงแรมรีสอร์ตหลายแห่งปรับปรุงห้องที่มีอยู่ให้ง่ายต่อการทำ ความสะอาดเพื่อรองรับแขกสี่ขา บางแห่งก็เปิดเป็น dog camp เพื่อต้อนรับหมากับเจ้าของโดยเฉพาะ ขณะที่โรงแรมใหญ่อย่างโรงแรมรีเจนท์ฯ ชะอำ ลงทุนสร้าง "Pet Resort" โรงแรมหมาดีไซน์สวยอยู่ข้างๆ พร้อมชูจุดขาย" Happy Family Holiday Absolutely Including Pets"
"คนรักหมา เวลาพาหมาเที่ยว พวกเขาคิดว่าเขาพาลูกเที่ยว ถ้าผู้ประกอบ การยอมปรับห้องและสถานที่ให้เป็น pet friendly ผมเชื่อว่าแม้จะเพิ่มค่าห้องอีกหน่อย คนรักหมาก็ยอมจ่าย เพราะจริงๆ แล้วกลุ่มนี้มีรายได้ดีและมีกำลังซื้อสูง" น.สพ.การุณย้ำอีกครั้งว่ากลุ่มคนรักหมาเป็นตลาดที่มีศักยภาพ
ผู้บริหาร Dogazine ยังแนะนำด้วยว่า ในช่วงที่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มา เที่ยวเมืองไทย กลุ่ม Dog Lover น่าจะเป็น ตลาดใหม่ที่พอชดเชยและกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการท่องเที่ยวได้
ทุกวันนี้ยังมีอีกหลากหลายธุรกิจบริการเกี่ยวกับหมา ที่เกิดจากกลุ่มคนที่เห็นศักยภาพของตลาดคนรักหมาและเห็นลู่ทางในการตอบสนองไลฟ์สไตล์และความ ต้องการของเจ้าของหมา เช่น สตูดิโอถ่ายภาพสัตว์เลี้ยง ซึ่งก็ไม่ต่างจากสตูดิโอถ่ายภาพคนนัก ถ่ายภาพหมาและเจ้าของหมาให้ออกมาดูดี มีพร็อพและชุดแฟนซีเตรียม ให้พร้อม มีทั้งแพ็กเกจอัดรูปใส่ VCD หรือ ใส่กรอบด้วย หรือทำเป็นอัลบั้มรวมเล่ม... เลือกเต็มแพ็กเกจอาจต้องจ่ายสูงกว่าครึ่งหมื่นเลยทีเดียว โดยสตูดิโอหมาบางแห่งยังทำหน้าที่โมเดลลิ่งหมาไปด้วย
นอกจากนี้ยังมี "เพ็ทแท็กซี่" บริการรับส่งผู้โดยสารหมา แม้จำนวนผู้โดยสาร หมาจะยังไม่มากเหมือนคน แต่คิวยาวไม่น้อยทีเดียว บางแห่งถึงกับระบุไว้เลยว่า ต้องโทรจองล่วงหน้า 1-2 วัน มีบริการ "เพ็ทมูฟวิ่ง" หรือขนย้ายหมาและข้าวของเครื่องใช้ของหมา หรือแม้แต่บริการจัดทำเอกสารเพื่อการส่งออกหมาก็มีคนมาทำเป็นธุรกิจกันแล้ว พูดง่ายๆ ว่า บริการอะไร ที่สร้างขึ้นมาเพื่อปรนนิบัติคน ล้วนแต่เป็นช่องทางและโอกาสในธุรกิจบริการเพื่อการปรนเปรอหมาได้เกือบทั้งนั้น...แต่ต้องไม่ลืม ว่า ท้ายสุดแล้วต้องตอบสนองความสุขและ ความสบายใจของเจ้าของด้วย
หมาแก่ หมาเจ็บ...
ธุรกิจรักษามหาศาล
กล่าวได้ว่า...การที่หมาไม่มีโรคและไม่เจ็บป่วยถือเป็นลาภอันประเสริฐของคนเลี้ยง
ว่ากันว่า ถ้าหมาปวดหัวตัวร้อนแล้ว เจ้าของเกิดไม่มีเวลาไปต่อคิวใน รพ.สัตว์ของรัฐบาล อาจต้องจ่ายค่ายาไม่ต่ำกว่า 300 บาท หากเจ็บป่วยจนสแกนร่างกาย อาจต้องควักเงินสูงถึง 3,000 บาททีเดียว แต่ถ้าหมาประสบอุบัติเหตุหรือป่วยเป็นโรคเรื้อรัง อาจต้องจ่ายเป็นแสนๆ เลยทีเดียว แต่ที่เจ้าของหลายคนยอมจ่ายเพื่อหมา ก็ด้วยความรัก และความต้องการยื้อชีวิตเพื่อนรักสี่ขาของเขาไว้ให้นานที่สุด ไม่ต่างกับความรู้สึกที่ไม่ต้องการสูญเสียคนที่รักหรือสมาชิกในครอบครัว
"ยามดีเราก็เลี้ยงเขาเป็นเพื่อน เขาให้ความสุขกับเรามานานหลายปี ฉะนั้นในยาม เจ็บไข้เราก็ต้องดูแล พาไปหาหมอให้หมอบอกว่าต้องดูแลรักษาอย่างไร จะมารอให้หายเองเหมือนคนไม่ได้" นี่เป็นทัศนคติจากตัวแทนเจ้าของหมาที่พอสะท้อนได้ว่า รพ.สัตว์และคลินิกน่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะตลาดมี "รูม" อยู่
ตัวเลขจากสมาคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงระบุว่า ในปี 2550 ทั่วประเทศ มีโรงพยาบาลสัตว์และคลินิกรักษาสัตว์ไม่ต่ำกว่า 1,600 แห่ง และเท่าที่เห็นในมหกรรมงานหมา ทุกปีจะมี รพ.สัตว์ของเอกชนมาออกบูธเพิ่มขึ้นๆ
"คนที่จะพาหมามา รพ.เอกชนถือว่าต้องเป็นคนรักหมามาก และยังต้องมีฐานะดีระดับหนึ่ง" น.สพ.บุญชู ทองเจริญพูลพร กล่าวในฐานะกรรมการผู้จัดการโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ
โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เป็น รพ.สัตว์ของเอกชนแห่งแรกในเอเชียที่ได้รับ ISO 9001:2000 หลายคนยกให้ที่นี่เป็น "บำรุงราษฎร์" หรือ "สมิติเวช" สำหรับสัตว์เลี้ยง ด้วยสโลแกน "เราใส่ใจ ให้บริการคุณตลอด 24 ชั่วโมง"...ฟังดูก็ละม้ายคล้าย รพ.คน ที่มีมาตรฐานระดับ 5 ดาวจริงๆ
"รพ.สัตว์ทองหล่อก็น่าจะเป็น hub ของภูมิภาคนี้ได้เหมือน "บำรุงราษฎร์" ซึ่งเป็น hub สำหรับ รพ.ของคน และ รพ.บำรุงราษฎร์เองก็มีชื่อไปทั่วโลกแล้วด้วยซ้ำ เราหวังว่า เราจะเป็นอย่างนั้นได้สำหรับ รพ.สัตว์ เพราะเดี๋ยวนี้นักธุรกิจต่างชาติหรือทูตต่างประเทศ ที่ไปประจำในประเทศต่างๆ รอบประเทศไทย ถ้าพวกเขามีหมามาด้วยแล้วเกิดเคสหนักๆ หลายคนก็บินมารักษาที่เรากัน" น.สพ.บุญชูแสดงความมุ่งมั่น
ความตั้งใจของผู้บริหารรายนี้ยังแสดงออกมาผ่านเสียงทักทายภาคภาษาอังกฤษจากเครื่องตอบรับอัตโนมัติที่เบอร์ call center 24 ชั่วโมงของ รพ.สัตว์ทองหล่อ รวมทั้ง เคาน์เตอร์บริการล่ามภาษาญี่ปุ่นภายในโรงพยาบาลด้วย
ทว่า อุปสรรคสำคัญที่จะทำให้ รพ.สัตว์ทองหล่อ รวมทั้งอุตสาหกรรม รพ.รักษาสัตว์เลี้ยงของเมืองไทยไปไม่ถึง "ดาว" แห่งการเป็น regional hub เหมือน รพ.คน นั่นก็คือภาวะขาดแคลนสัตวแพทย์ในเมืองไทย โดยเฉพาะสัตวแพทย์เฉพาะทาง แม้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปีแต่ก็ยังไม่ทันกับความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นมาก
การแบ่งแผนกของ รพ.สัตว์ทองหล่อแทบไม่ต่างจาก รพ.คนเลยทีเดียว มีทั้งคลินิก อายุรกรรม คลินิกเฉพาะทาง ศัลยกรรม แผนกผู้ป่วยใน แผนกเอกซเรย์และอัลตราซาวด์ และห้องพักพิเศษที่เจ้าของสามารถมานอนเฝ้าหมาของตนได้ รวมทั้งศูนย์รับฝากเลี้ยง บริการฝังเข็มรักษาโรค และบริการให้คำปรึกษาในการดูแลหมาแก่เป็นพิเศษอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมี "เพ็ทแคร์" เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์คนรักหมา โดยมีทั้งเพ็ทชอป กรูมมิ่ง เพ็ทแท็กซี่ เพ็ทคาเฟ่ที่ที่เจ้าตูบจะได้กินไอติมบนโต๊ะเดียวกับเจ้าของที่นั่งจิบกาแฟ และ "ABC4Dogs" ศูนย์เรียนรู้และปรับเปลี่ยนบุคลิกเจ้าตูบ
"เราจะสำรวจความต้องการลูกค้า แล้ว ดูว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้บริการแล้วก็หามาเพิ่ม อย่างห้องพักวีไอพี เราก็เป็นรายแรกที่ทำเพราะ เห็นไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยน บางคนไม่เคยนอนแยกกับหมา พอหมาผ่าตัดเสร็จ เขาก็เป็นห่วง อยากนอนเฝ้าหมา เราก็เลยจัดห้องให้เจ้าของกับเจ้าตูบนอนด้วยกัน ปรากฏว่าคนจองเยอะมากเลยต้องขยายห้อง" น.สพ.บุญชูเล่า
ทั้งนี้ เพราะค่ารักษาพยาบาลหมาบางเคสแพงกว่าคน ขณะที่คนมีประกันภัยคอยช่วย แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายยามต้องเข้าโรงพยาบาล เชื่อว่าเจ้าของหมาหลายคนที่มีหมาเข้าโรงพยาบาล คงเคยคิดเล่นๆ ว่าหากมีประกันภัยตรงนี้ให้หมาด้วยก็คงดี ขณะที่ "มิตรแท้ประกันภัย" เองก็ตระหนักถึงดีมานด์และเห็นช่องทางเจาะตลาดใหม่ตรงนี้ เมื่อกลางปีที่ผ่านมาจึงมีการเปิดตัวกรมธรรม์ใหม่ที่คุ้มครอง ค่ารักษาพยาบาลเจ้าตูบ
ทว่า ปัจจุบันยังครอบคลุมเพียงกรณีบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ แต่ในปีหน้าอาจจะได้เห็น กรมธรรม์ตัวใหม่ที่ครอบคลุมกรณีเจ็บป่วยเพิ่มเข้ามาอีกด้วย (อ่านรายละเอียดในเรื่อง "Dog Insurance As A New Blue Ocean") ทั้งนี้ ตลาดประกันภัยหมาต้องถือว่ายังสดใหม่ อยู่มาก ปัจจุบันยังมีผู้เล่นเพียงรายเดียว คือมิตรแท้ฯ
วาระสุดท้ายน้องหมา...
กับมูลค่าบนซากความตาย
ไม่ว่าหมาพันธุ์แท้หรือพันธุ์ทาง ไม่ว่าหมาเลี้ยงหรือหมาวัด สุดท้ายก็ต้องตายด้วยกันทุกตัว
เพียงแต่หมาจรจัดอาจต้องนอนตายอนาถอยู่ข้างถนนไร้ผู้คนเหลียวแลและรำลึกถึง "การเคยมีอยู่" ของมัน ส่วนหมาเลี้ยงมักมีคนมานั่งร้องไห้หน้าซาก บางตัวถูกฝังดินข้างบ้าน บ้างก็อยู่สุสานตามวัด หรือมีพิธีเผาอย่างดี แถมมีพระมาสวด เถ้ากระดูกก็ถูกเอาไปลอย ณ ปากแม่น้ำเจ้าพระยา...อาจไปดีกว่าใครบางคนด้วยซ้ำ
ขณะที่บางคนไม่มีเงินซื้อโลงศพให้คนที่รัก แต่หมาบางตัวได้นอนโลงไม้ดีไซน์สวย สีสันและลวดลายตามความชอบของเจ้าของ หรือตามที่เจ้าของเชื่อว่าหมาตนชอบ ราคามีตั้งแต่หลักพันถึงหลักหมื่น โดยผู้ที่เข้ามาทำธุรกิจนี้มีทั้งผู้ผลิตโลงศพคนที่ขยายไลน์มาทำโลงหมา หรือคนที่อยากทำธุรกิจนี้เพียงเพราะอยากสร้าง "บ้านหลังสุดท้าย" ให้หมาด้วยความอาลัยรักและนายหน้ารับงานจากเจ้าของ หมาแล้ว outsource ให้บริษัทผลิตโลงศพคนไปทำ
สถานที่ฌาปนกิจศพหมามีทั้งวัด, รพ. สัตว์บางแห่ง และบริษัทของเอกชน ปัจจุบันมีอยู่หลายวัดที่มีเตาเผาศพหมา มีบางวัดใช้เตา ไฟฟ้าเหมือนเตาเผาคน เช่น วัดคลองเตยใน สนนราคาค่าเผาที่นี่เพียง 1,500-2,500 บาท เผาเสร็จจะเอากระดูกไปลอย ที่นี่ก็มีบริการเรือพาไปยังต้นแม่น้ำ แต่หากจะฝังคงต้องผิดหวังเพราะสุสานหมามีศพเต็มเสียแล้ว
World Pet Angel เป็นบริษัทเอกชนที่รับเผาศพหมา ขณะเดียวกันก็ยังมีธุรกิจที่ให้บริการกับหมาที่ยังมีชีวิตด้วย เช่น เพ็ทช็อป กรูมมิ่ง สระว่ายน้ำหมา โรงแรมหมา และสปา หมา รวมทั้งยังมีสปาสำหรับคนด้วย
"โดยเฉลี่ยวันหนึ่งๆ ก็มีหมาและสัตว์อื่นมาให้เผาไม่ต่ำกว่า 2 ตัว ส่วนใหญ่ลูกค้า ที่มาเผาจะมีน้ำตาทุกคน เพราะเขาไม่ได้คิดว่า ศพนี้เป็นแค่หมา แต่เขาเลี้ยงเหมือนลูก "สัปเหร่อวัย 31 ปี แห่ง World Pet Angel บอก (อ่านรายละเอียดในเรื่อง "สัปเหร่อเจ้าตูบ...ทำด้วยรักและสงสาร")
ในการทำพิธีเผาศพของที่นี่ ไม่ได้มีแค่เพียงเผาซาก แต่ยังรวมไปถึงการเก็บเถ้ากระดูก ทำสังฆทานหมู่ให้ นำเถ้าไปลอย ณ ปากแม่น้ำเจ้าพระยา หรือลูกค้าจะเอาเถ้ากระดูกใส่โถกลับบ้านเป็นที่ระลึกก็ได้ โดยค่าบริการ อยู่ที่ 1,800-3,500 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับน้ำหนัก ของหมา
สำหรับคนรักหมา ค่าเผาเพียงหลักพัน คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การส่งวิญญาณเจ้าตูบให้ไปอยู่ในภพที่ดีอาจเป็นเรื่องสำคัญกว่า เจ้าของหมาที่อยากให้เจ้าตูบได้ทำบุญเป็นครั้ง สุดท้ายสามารถนำศพหมาไปบริจาคเป็น "อาจารย์ใหญ่สุนัข" ได้ที่ภาควิชากายวิภาค ศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (ทั้งนี้บางศพอาจบริจาคไม่ได้)
นอกจากไม่เสียเงิน ผลบุญยังเผื่อแผ่ไปช่วยหมาป่วยตัวอื่นๆ ได้อีก...เรียกได้ว่าไม่เสียชาติหมาทีเดียว
จะเห็นได้ว่า ตลอดช่วงชีวิตเพียง 10 กว่าปีของหมา มีสินค้าและบริการมากมายที่เกิดขึ้นมาเพื่อพวกมันและทยอยมากขึ้นทุกวัน จนเคยมีคนพูดเล่นๆ ว่า "ในกรุงเทพฯ ไม่มีซอยไหนที่ไม่มีร้านค้าและร้านบริการเกี่ยวกับหมา"
แม้จะไม่เคยมีการเก็บตัวเลขของกระแสเงินที่สะพัดอยู่ในตลาด Dog Lover ทั้งหมด อย่างจริงจัง แต่ส่วนหนึ่งที่ "ผู้จัดการ" ยกมาน่าจะพอนำเสนอให้เห็นแล้วว่ามีเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยที่กลุ่มคนรักหมาใช้จ่ายเพื่อปรนนิบัติหมาของตน
ในทางกลับกัน มีธุรกิจที่หา "ช่อง" แทรกตัวเข้ามาทำกินกับหมาและคนรักหมาเกิดขึ้นใหม่อีกมากมาย แม้แต่ทำธุรกิจกับ "อึหมา" ก็ยังมีให้เห็นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าอ้อมหมา ถุงเก็บอึ ไม้โกยอึ หรือห้องน้ำหมา ยังไม่นับสเปรย์ดับกลิ่น ฯลฯ แม้แต่บริษัทซอฟต์แวร์ก็ยังมีคนคิดโปรแกรมขึ้นมาขายคนที่อยากเปิดร้านเพ็ทช็อปหรือกรูมมิ่งโดยเฉพาะ เป็นต้น
ดัชนีชี้วัดความมั่งคั่งของอุตสาหกรรมนี้อาจดูได้จากโฆษณามากมายที่อยู่ในสื่อเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงที่มีหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Dogazine นิตยสารเกี่ยวกับหมาโดยเฉพาะหรือสื่อรักสัตว์เลี้ยง, ข่าวโลกสัตว์เลี้ยง, สวนจตุจักร, แหล่งสัตว์เลี้ยง, อาณาจักรสัตว์เลี้ยง, Pet Mania และ Your Pet โดยเฉพาะ Shamu Shamu นิตยสารขายดีทั้งที่ดูเหมือนจะเป็นแค็ตตาล็อกโฆษณาสินค้าเพื่อสัตว์เลี้ยงมากกว่า
หรือดูจากดัชนีอีกตัว จะเห็นว่าจำนวนงานแสดงสินค้าและบริการเพื่อสัตว์เลี้ยงทั้งที่เป็นมหกรรมใหญ่มีผู้ชมทั้งคนและหมานับแสนชีวิต หรืองานเล็กๆ มีเป้าหมายเพียงเพื่อใช้หมาเป็นกิมมิคเพิ่มจำนวนลูกค้าที่เข้ามาเดินในศูนย์การค้าบางแห่ง เช่น งานล่าสุด Pet Passion Week ที่เอ็มโพเรียม เป็นต้น
หากดูปฏิทินเกี่ยวกับงานหมาจะเห็นว่ามีงานเล็กงานใหญ่จัดขึ้นเกือบทุกเดือน บางเดือนมีเกือบทุกอาทิตย์ทีเดียว
"ธุรกิจตรงนี้เข้าง่ายแต่จะอยู่ให้ได้มันยาก เพราะการแข่งขันสูง แล้วส่วนใหญ่เข้ามาแล้วทำตามกัน บางคนก็เข้ามาเพราะแฟชั่น หรือเห็นแค่ว่าทำเงินดี ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รักหมามากมาย และไม่มีความรู้เกี่ยวกับหมา แล้วก็ไปไม่รอด มันเลย ทำให้ธุรกิจตรงนี้ easy-come, easy-go" เจ้าของธุรกิจเพื่อคนรักหมาที่ "ผู้จัดการ" กล่าวถึงข้างต้นทุกคนพูดตรงกัน
ที่ผ่านมา 10 กว่าปี อุตสาหกรรมเพื่อเจ้าตูบดูเหมือนจะไม่เคยตก แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจย่ำแย่เมื่อปี 2540 หลาย ธุรกิจสลบไสล แต่ตลาด Dog Lover กลับ เฟื่องฟู แม้แต่ในช่วงเศรษฐกิจตกสะเก็ดอย่างทุกวันนี้ ผู้ประกอบการหลายคนก็ยังมั่นใจว่าธุรกิจตรงนี้ก็ยังจะโตต่อไปได้หรืออย่างเลวร้ายที่สุดก็คือทรงตัว
อย่างไรก็ดี หลายครั้งคนรักหมาที่ยอมจ่ายเงินหลักหมื่นหลักแสนเพื่อปรนเปรอหมา มักจะถูกมองว่า "เว่อร์" บ้าง โง่บ้าง บางคนก็ถูกว่าไม่เข้าท่า สติไม่ดีบ้าง หรือแรงสุดถึงกับบอกว่า "เห็นแก่ตัว คนไม่มีจะกินเยอะแยะในสังคมไทย น่าจะเอา เงินไปเลี้ยงคนจนมากกว่า" ยังมีนานาทัศน (อ) คติอื่นๆ ที่โจมตีคนกลุ่มนี้
"ผมเคยได้รับคำถามจาก BBC ว่า กล้าดียังไงถึงมาทำธุรกิจแบบนี้ (Ozono) เมืองไทยมีคนจนตั้งเยอะ ผมตอบว่า อยากให้คนที่ไม่เข้าใจเลิกแบ่งวรรณะว่ามันเป็น สัตว์ ลองใช้คำกลางๆ ว่าหมาเป็นผู้ที่เรารักและรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไข เมื่อทุกคนเข้าใจตรงกัน ผมว่าเราอยากทำทุกอย่างเพื่อ ให้ผู้ที่เรารักมีความสุขที่สุด" ธเนศอธิบาย
ไม่ว่าจะอย่างไร...มันคงดีไม่น้อย หากความรักและเมตตาที่ทุ่มเทลงไปให้กับ "น้องหมา" ที่บ้านอย่างมหาศาล จะถูกแบ่งปันไปยังหมาข้างถนน หมาจรจัด หมาวัดและหมาพิการบ้างสักเล็กน้อย และมันก็คงจะดีไม่น้อย หากความห่วงใยและความเอื้ออาทรที่มีต่อเพื่อนสี่ขาจะถูกเผื่อแผ่ไปสู่เพื่อนมนุษย์สองขาผู้ด้อยโอกาสในสังคมเดียวกันนี้บ้าง!!!
|