|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ ฉบับ พฤศจิกายน 2551
|
|
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการล้มละลายของสถาบันการเงินในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยและวาณิชธนกิจขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2551 ที่ผ่านมา มีสาเหตุหลักมาจากปัญหาซับไพร์มที่เป็นปัญหาเรื้อรังมายาวนาน ไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังลุกลามต่อเนื่องไปยังระบบเศรษฐกิจของทั่วโลกในระดับที่แตกต่างกันไป สำหรับประเทศไทยนั้นก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยเฉพาะภาคการส่งออกของไทย ซึ่งโดยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของไทยแล้ว จำเป็นต้องพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก
อุตสาหกรรมเซรามิก เป็นอีกอุตสาหกรรมหนึ่งที่ต้องพึ่งพา ตลาดส่งออกเป็นสำคัญ ผู้ประกอบการจึงต้องเผชิญกับปัญหาการ ส่งออกชะลอตัวหรือลดลง จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เน้นการส่งออกเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามในระยะที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเซรามิกของไทยยังคงต้องเผชิญกับปัญหาการแข่งขันกันระหว่างประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการแข่งขันกับประเทศจีน ซึ่งมีกำลังการผลิตเซรามิกใหญ่ที่สุดในโลก มีข้อได้เปรียบทั้งในด้านราคาถูก และการแข่งขันกับกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เช่น อิตาลี และสเปนในตลาดผลิตภัณฑ์เซรามิกระดับบน ซึ่งมีความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยีการผลิตระดับสูงและการออกแบบผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับแนวหน้าของโลก
ช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์ เซรามิกลดลงเหลือ 620.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวลดลงเหลือ เพียงร้อยละ 24.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่ขยายตัวถึงร้อยละ 34.3 ในช่วง 3 เดือนหลังของปี 2551 ศูนย์ วิจัยกสิกรไทยคาดว่าแนวโน้มการส่งออกจะชะลอตัวลงมากกว่าเดิม อันเนื่องมาจากวิกฤติการณ์ทางการเงินของสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมายังสภาพคล่องทางการเงินทั่วทั้งโลก เศรษฐกิจของสหรัฐฯ หลายๆ ประเทศต่างตกอยู่ในภาวะชะลอตัวหรือถดถอย ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง คาดว่ามูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกในปี 2551 จะมีมูลค่าประมาณ 834 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีอัตราการขยายตัวเพียงร้อยละ 17.3 เท่านั้น
ผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ไทยส่งออกมากที่สุดในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2551 ที่ผ่านมา คือเซรามิกประเภทอื่นๆ โดยมีการส่งออกถึงร้อยละ 59 ของการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกทั้งหมด รองลงมาคือ เครื่องสุขภัณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 17 และกลุ่ม ผลิตภัณฑ์กระเบื้องปูพื้น ปิดผนัง และโมเสก คิดเป็นร้อยละ 16 สำหรับผลิตภัณฑ์เซรามิกประเภทลูกถ้วยไฟฟ้า ของชำร่วยและเครื่องประดับ คิดเป็นร้อยละ 4
ปัจจุบันตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกอันดับหนึ่งของไทย คือ ญี่ปุ่น โดยมูลค่าสูงถึง 326.6 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 52.6 ซึ่งผลิตภัณฑ์เซรามิกประเภทอื่นๆ เช่น หลอดหรือท่อ ท่อนำ ราง และอุปกรณ์ติดตั้งสำหรับหลอดหรือท่อที่เป็นเซรามิก และผลิตภัณฑ์เซรามิกสำหรับใช้ในห้องปฏิบัติการทางเคมี ใช้ในทางเกษตรกรรมและใช้ในการลำเลียงหรือบรรจุของ มีการส่งออก มากที่สุด คิดเป็นมูลค่าถึง 311.0 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 84.8 มูลค่าการส่งออกเซรามิกประเภทอื่นๆ ทั้งหมด รองลงมาคือสหรัฐฯ มีมูลค่าส่งออก 79.3 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 12.8 โดยส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์มากที่สุด มีมูลค่าประมาณ 47.7 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 44.0 ของการส่งออกเครื่องสุขภัณฑ์ ทั้งหมด อันดับต่อๆ มา ได้แก่ ออสเตรเลีย ลาว และมาเลเซีย ตามลำดับ โดยผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ส่งออกไปออสเตรเลีย และลาว มากที่สุด คือ กระเบื้องปูพื้น ปิดผนัง และโมเสก และผลิตภัณฑ์เซรามิกที่ส่งออกไปยังมาเลเซียมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์เซรามิกประเภทอื่นๆ
เนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยของสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ในช่วงปลายปี 2551 ทำให้กำลังซื้อของแต่ละประเทศปรับตัวลดลง เมื่อกำลังซื้อในตลาดส่งออกในสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของผลิตภัณฑ์เซรามิกไทยชะลอตัวหรือลดลงแล้ว จะส่งผลให้ปริมาณและมูลค่าการส่งออกของผลิตภัณฑ์เซรามิกลดลงตามไปด้วย โดยจะส่งผลกระทบต่อยอดการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกอย่างชัดเจนในช่วงต้นปี 2552 โดยเฉพาะการส่งออกสุขภัณฑ์ไปยังสหรัฐฯ และการส่งออกผลิตภัณฑ์ เซรามิกประเภทอื่นๆ ไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง
เมื่อเทียบกับการส่งออกทั้งหมดของผลิตภัณฑ์เซรามิกในประเภทเดียวกัน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดการณ์ว่าในปี 2552 มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกมีแนวโน้มจะชะลอตัวลงอย่าง มาก โดยน่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.3 หรือคิดเป็นมูลค่าการส่งออกเพียงประมาณ 853 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หากผู้ประกอบการไม่สามารถปรับตัวและแก้ไขปัญหาให้ทันกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงแล้ว อาจทำให้มูลค่าการส่งออกของผู้ประกอบการในปี 2552 ลดลงถึงร้อยละ 1-10 ก็เป็นได้
เตือนภัยส่งออกเซรามิก ปี 52
จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกในระดับที่แตกต่างกันออกไปตามความรุนแรงของเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ ดังนี้
- กลุ่มผลิตภัณฑ์เซรามิกที่มีแนวโน้มการส่งออกลดลง
ผลิตภัณฑ์เซรามิกประเภทวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ เครื่องสุขภัณฑ์ต่างๆ กระเบื้องปูพื้น ปิดผนัง และโมเสก และของชำร่วย และเครื่องประดับ มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก และการส่งออกผลิตภัณฑ์เซรามิกอื่นๆ ซึ่งมีการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นเป็นตลาดหลักและมีมูลค่าส่งออกที่สูงมากเป็นอันดับหนึ่ง
- กลุ่มผลิตภัณฑ์เซรามิกที่มีแนวโน้มการส่งออกชะลอตัว
ผลิตภัณฑ์เซรามิกประเภทลูกถ้วยไฟฟ้า น่าจะมีมูลค่าการส่งออกที่ชะลอตัวลง เนื่องด้วยมีการส่งออกไปยังจีนเป็นตลาดหลัก ซึ่งได้รับผลพวงมาจากวิกฤติการณ์ทางการเงินของสหรัฐฯ เช่นกัน แต่อาจจะไม่รุนแรงเท่ากับผลิตภัณฑ์เซรามิกที่มีการพึ่งพิงตลาดสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น ฯลฯ
ทางออกของผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์เซรามิก
ถึงแม้ว่าผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิก โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีการส่งออกอย่างเข้มข้น จะต้องประสบกับปัญหาต่างๆ จากวิกฤติทางเศรษฐกิจของโลก แต่ยังมีทางออกอีกหลายแนวทางสำหรับผู้ประกอบการในการปรับตัวรับกับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้
- ควบคุมมาตรฐานผลิตภัณฑ์ และลดต้นทุนการผลิต
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเซรามิกต้องผลิตสินค้าให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนดไว้ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ควรขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในด้านเทคโนโลยีการผลิตเพื่อพัฒนา ปรับปรุงการผลิตให้มีคุณภาพและมาตรฐาน รวมทั้ง อาจจะช่วยลดการสูญเสียของผลิตภัณฑ์ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรเน้นการใช้พลังงานทดแทนในการผลิต เพื่อให้สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้มากยิ่งขึ้น
- วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเซรามิกประเภทวัสดุก่อสร้าง ของชำร่วยและเครื่องประดับ และเซรามิกประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กต้องเน้นด้านคุณภาพและการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สวยงาม หรูหรา และทันสมัย เจาะตลาดลูกค้าระดับสูงที่ยังพอมีกำลังซื้ออยู่บ้าง เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคากับผลิตภัณฑ์เซรามิกของจีน
- กระตุ้นตลาดในประเทศ
ผู้ประกอบการควรกระตุ้นความต้องการผลิตภัณฑ์เซรามิก ภายในประเทศให้มากขึ้น โดยอาจจะมีกิจกรรมทางด้านการตลาดให้สูงขึ้น ส่วนในการหาตลาดส่งออกใหม่นั้น อาจจะทำได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยการเจาะตลาดไปยังประเทศแถบตะวันออกกลาง แอฟริกา ดูไบ ซึ่งประสบกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจน้อยกว่าประเทศอื่นๆ เป็นต้น
|
|
|
|
|