ขณะที่กระแสข่าว บรรษัทนกำลังคึกโครมอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยปัญหากระทรวงการคลังมีท่าทีเย็นชาต่อการหาทางออกให้บรรษัท
กรณีการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และขณะที่ศุกรีย์ แก้วเจริญ ผู้จัดการทั่วไป
และเป็นกรรมการบรรษัทอยู่ด้วยกำลังวิ่งพล่านพบคนโน้นทีคนนี้ที เพื่อขอความเห็นใจและเข้าใจในสิ่งที่เขาและผู้บริหารบรรษัททุกคนได้กระทำลงไป
ในการบริหารกิจการบรรษัทตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
ปรากฏว่า เรื่องนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ออกมาเลยจาก ณรงค์ชัย อัครเศรณี
ที่ปรึกษาบรรษัทและที่ปรึกษาด้านนโยบายนายกรัฐมนตรี พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ
ทำไม ณรงค์ชัย จึงเงียบ ทั้ง ๆ ที่เขามีฐานะเป็นที่ปรึกษาบรรษัทอยู่และมีอดีตเป็นถึงผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปบรรษัท
เมื่อ 3 ปีก่อน
มีการพูดกันหนาหูมากว่า งานนี้เขามีสิทธิ์เป็นแคนดิเดท สวมตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปบรรษัทแทนศุกรีย์
ด้วยถูกมองว่า หนึ่ง - เขาเคยเป็นผู้บริหารระดับสูงในบรรษัทมาก่อน ย่อมรู้ปัญหาและหนทางแก้ไขบรรษัทได้ดีกว่าคนอื่น
และ สอง - เขามีประสบการณ์ในการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากจอห์น
ฮอปกิ้น เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม ที่ตรงกับธุรกิจของบรรษัทที่ทำอยู่
และเป้นผู้บริหารโครงการวิจัยระดับสูงในทีดีอาร์ไอ ถึงตำแหน่งรองประธานและผู้อำนวยการโครงการวิจัยอุตสาหกรรมและการค้าต่างประเทศแถมมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้วย
เหตุผล 2 ประการนี้ ถูกสังเกตด้วยความเชื่อจากคนวงนอกบรรษัทว่า เหมาะสมยิ่งนักที่จะเป็นผู้จัดการทั่วไปบรรษัท
"เขามือไม่ถึงหรอก" ศุกรีย์พูดเปรย ๆ กับดุสิต โสภิชา นักการเมืองฝ่ายค้ายที่ห้องอาหารแห่งหนึ่งแถว
ๆ อโศกต่อหน้า อัศวิน คงสิริ มือขวาของเขา
จริงหรือไม่ที่ณรงค์ชัย "มือไม่ถึง" คงไม่มีใครรู้นอกจากณรงค์ชัยกับผู้บริหารบรรษัทอีก
4 คนคือ อโนมัย เตชะมนตรีกุล ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป และผดุง เตชะศิรินทร์
รองผู้จัดการทั่วไป (ย้ายไปเป็นรองกรรมการผู้จัดการ ธ.นครหลวง) เท่านั้นที่รู้เพราะเคยทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมาก่อนที่บรรษัท
อุปมาอุปมัยเหมือน "ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่" ว่ากันว่า ตอนที่ผดุงลาออกไปอยู่ธ.นครหลวงช่วงที่บรรษัทเริ่มประสบมรสุมด้านอัตราแลกเปลี่ยน
ณรงค์ชัยมาขอตำแหน่งนี้กับศุกรีย์ แต่ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเพียงว่ายังไม่เหมาะสม
"ผลงานและความสามารถไม่ได้เหนือกว่าอโนทัยและจักรทิพย์เลย" คนในบรรษัทเล่าย้อนอดีตให้
"ผู้จัดการ" ฟัง
นอกจากนี้ บทบาทการเป็นนักคิดของณรงค์ชัย ในบางครั้งทำให้ผู้บริหารของบรรษัทหลายคนอึดอัดที่ณรงค์ชัย
ชอบพูดความเห็นของตัวเองออกไปก่อนเข้าที่ประชุมผู้บริหารในบรรษัท
ผู้ใหญ่บางคนมองว่า ณรงค์ชัย ชอบล้ำเส้นอยู่เรื่อย ขณะเดียวกันก็มีข่าวกระจายออกไปภายนอกว่า
ณรงค์ชัยไม่ได้รับมอบหมายงานที่สำคัญ ๆ ทำ และเริ่มเบื่อหน่ายที่จะอยู่บรรษัท
การลาออกของณรงค์ชัยจากบรรษัทในช่วงกลางปี 2531 โดยให้ดร.เสนาะ อูนากูล
โทรมาขอกับศุกรีย์ด้วยเหตุผลว่า "ต้องการให้ไปช่วยงานที่ทีดีอาร์ไอ"
ถูกมองว่าเขากำลังทิ้งบรรษัทไป ขณะที่บรรษัทกำลังประสบมรสุมอยู่อย่างเงียบ
ๆ
จนเมื่อเรื่องราวที่เป็นมรสุมของบรรษัทถูกเปิดเผยออกมาอย่างคึกโครม ก็ไม่มีเสียงอันใดจากณรงค์ชัย
ที่จะแสดงออกมาในฐานะอดีตผู้บริหารระดับสูงผู้รู้เรื่องดี "แกเป็นที่ปรึกษาบรรษัท
แต่ผมยังไม่เคยได้รับคำปรึกษาอะไรจากแกเลยสักคำ" ศุกรีย์กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ถึงณรงค์ชัยในยามที่วิกฤติ
ณรงค์ชัยกำลังถูกพูดถึงว่า อาจเป็นแคนดิเดทที่จะแทนศุกรีย์ในบรรษัทเป็นไปได้หรือไม่
คำถามนี้ คงตอบได้ยากกว่าจริงหรือไม่ แต่ถ้าณรงค์ชัยมาจริง อัศวินที่จ่อรอคิวในตำแหน่งรองมานานและอยู่โต้กระแสมรสุมกับศุกรีย์มาตลอดและมีตำแหน่งเหนือกว่าณรงค์ชัยมาก่อน
คงอยู่ไม่ได้แน่
จักรทิพย์และอโนทัย ซึ่งมีตำแหน่งเท่าณรงค์ชัยมาก่อนในบรรษัทก็คงอึดอัด
สมการนี้คงเป็นโจทย์ให้ประมวลและเหล่าที่ปรึกษาประมวลโดยเฉพาะกอบศักดิ์ สภาวสุ
ลูกชาย ส.ส.สอบตกจากพรรคชาติไทยขบคิดอย่างหนัก