|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหุ้นเอเชียคึกคัก หลังกอดคอกันร่วงระนาวไปก่อนหน้านี้ โดยตลาดหุ้นไทยบวก 10.61 จุด แต่ไม่สามารถยืนเหนือ 400 จุดได้ โบรกเกอร์ เผยนักลงทุนเริ่มมั่นใจมาตรการแก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตัว บวกกับแรงเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่รูดต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน แต่แนวโน้มยังผันผวน เหตุไม่มีปัจจัยบวกเข้ามากระตุ้นแถมปัจจัยลบรออยู่เพียบ ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ ขานรับมติ ครม. เปิดเผยข้อมูลให้นักลงทุนใช้ประกอบตัดสินใจลงทุน
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย วานนี้ (28 ต.ค.) ได้กลับมาคึกคักอีกครั้ง หลังจากปรับตัวลดลงอย่างหนักในวันก่อนหน้านี้ โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นถ้วนหน้า หลังจากนักลงทุนต่างคลายความกังวลจากมาตรการที่ทางการของหลายประเทศ จะเข้ามาอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน รวมถึงมาตรการอื่นๆ ที่จะช่วยบรรเทาวิกฤตการเงินที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ทั่วโลก
โดยดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียวปิดที่ระดับ 7,621.92 จุด เพิ่มขึ้น 459.02 จุดหรือ 6.41% ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดที่ 12,596.29 จุด เพิ่มขึ้น 1,580.45 จุด หรือ 14.35% ดัชนีคอมโพสิต เกาหลีใต้ ปิดที่ 999.16 จุด เพิ่มขึ้น 52.71 จุด หรือ 5.57% และดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุนสิงคโปร์ ปิดที่ 1,666.49 จุด เพิ่มขึ้น 66.21 จุด หรือ 4.14%
สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายเช่นกัน แม้จะมีการปรับตัวลดลงมาอยู่ในแดนลบบ้างในช่วงเช้าของการซื้อขาย โดยแตะระดับต่ำสุดที่ 383.63 จุด แต่พอช่วงบ่ายดัชนีได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถปรับตัวขึ้นไปเหนือ 400 จุด ที่ระดับสูงสุดที่ 407.80 จุด ก่อนจะเจอแรงเทขายกดดันดัชนีปิดที่ 398.04 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 10.61 จุด คิดเป็น 2.74% มูลค่าการซื้อขาย 16,784.36 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสุทธิ 2,156.89 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,661.51 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 495.39 ล้านบาท
เตือนปัจจัยลบรอถล่มเพียบ
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากปรับตัวลงอย่างรุนแรงในวันก่อนหน้า จนตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องประกาศใช้มาตรการหยุดพักการซื้อขายชั่วคราว (Circuit Breaker) ทำให้เป็นแรงจูงนักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนเก็งกำไรอีกครั้ง เพราะเห็นว่าราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานมากแล้ว โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนสำคัญสนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปิดเหนือแดนบวกได้ รวมทั้งตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงเป็นผลบวกต่อจิตวิทยาการลงทุนด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนวันนี้ตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงจะเผชิญแรงขายทำกำไร เพราะบรรยากาศการลงทุนทั่วโลกที่ยังรุมเร้าด้วยปัจจัยลบที่มีนัยสำคัญจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง บวกกับนักลงทุนต่างชาติและกองทุนเทขายหุ้นเพื่อสำรองเงินสดรองรับการไถ่ถอนหน่วยลงทุนล็อตใหญ่ หลังนักลงทุนพากันแห่ไถ่ถอนหน่วยลงทุน เนื่องจากขาดความเชื่อมั่นในการลงทุน
“กลางสัปดาห์นี้ จะมีการประกาศตัวเลขจีดีพีสหรัฐฯ ที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะออกมาติดลบ ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก และไทยปรับตัวขยับขึ้นได้ไม่ไกล เพราะจะมีแรงเทขายทำกำไรออกมา ส่วนการประชุมเฟด คาดว่าจะมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยลดลงอีก 0.50% เพื่อลดความตื่นตระหนกในภาคการเงิน ดังนั้นกลยุทธ์ช่วยนี้คือการขายทำกำไร ประเมินแนวรับ 385 จุด แนวต้าน 400 จุด”
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยมีทิศทางการปรับตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศ ที่เป็นปัจจัยเดียวที่ส่งเสริมการลงทุนวันนี้ให้ปรับตัวขึ้นมา ขณะเดียวกันถือเป็นจังหวะที่นักลงทุนจะเล็งเห็นจังหวะในการเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร หลังปรับลดลงมากแล้ว
ครม.จี้ตลาดหุ้นเปิดเผยข้อมูล
น.ส.ศุภรัตน์ นาคบุญนำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. วานนี้ (28 ต.ค.) ได้สั่งการให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับนักลงทุนเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน รวมถึงให้ดำเนินการตรวจสอบใบอนุญาตของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ว่าถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากยังมีโบรกเกอร์บางรายที่ไม่มีใบอนุญาต แต่ยังสามารถให้คำแนะนำด้านการลงทุนกับนักลงทุนอยู่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการลงทุนได้
ขณะที่รายงานข่าวแจ้งเพิ่มเติมว่า นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เสนอให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนเพื่อรองรับสถานการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยออกไป ซึ่งหากรัฐบาลเห็นชอบกับแนวคิดดังกล่าว ทาง ก.ล.ต. จะเร่งไปประสานงานเพื่อร่วมระดมทุนกับภาคเอกชน และจัดรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจ โดยต้องการให้รัฐรับประกันผลขาดทุนด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน
“ในที่ประชุมครม. มีทั้งเห็นด้วยและคัดค้าแนวคิดดังกล่าว โดยฝ่ายคัดค้านเห็นว่า การตั้งกองทุนขึ้นมาลงทุนในหุ้นจะกลายเป็นภาระของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลมีงบประมาณจำนวนจำกัด โดยจะต้องใช้ดูแลเศรษฐกิจรากหญ้า แต่ที่ประชุมก็ไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องนี้แต่อย่างใด”
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ครม. ได้สั่งการให้ ตลท. ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งตนยืนยันว่าสาเหตุที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างรุนแรงนั้น เกิดจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลักตามการเปลี่ยนแปลงของทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเร่งให้ข้อมูลกับนักลงทุนเพื่อใช้เป็นพื้นฐานในการตัดสินใจ
ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้มีการรายงานผลการจัดตั้งกองทุนที่เริ่มมีการทยอยเข้าซื้อหุ้นบ้างแล้ว เช่น กองทุนทั่วไป มีการเข้าซื้อหุ้นวงเงิน 300 ล้านบาทในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากปัจจัยต่างประเทศ ขณะที่พื้นฐานหุ้นไทยยังดีอยู่ และยังไม่มีการออกมาตรการพิเศษมาดูแล แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ติดตามสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของตลาดภูมิภาคอย่างใกล้ชิด” นางภัทรียา กล่าว
นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อแก้วิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามและทั่วโลกถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และมั่นว่าจะช่วยแก้ปัญหาและบรรเทาวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ แม้จะยังไม่ทราบว่าต้องใช้เวลานานเท่าใด แต่การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลลบทำให้มีการเก็งกำไรในกลุ่มคอมมูนิตี้ ซึ่งอาจทำให้สินค้าต่างๆ มีมูลค่าลดลง
ส่วนสาเหตุที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เกิดจากความไม่มั่นใจของนักลงทุน ดังนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯ จะต้องเปิดเผยข้อมูลจากเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันให้ชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและใช้ประกอบการตัดสินใจในการลงทุนด้วย
“ผมว่าราคาหุ้นขณะนี้ เป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการลงทุนในประเทศในธุรกิจขนาดใหญ่ จากเดิมต่างชาติเป็นผู้ครอบครอง เนื่องจากปัจจุบันสถาบันการเงินต่างๆ ยังมีทุนสำรองอยู่ในระดับสูง แนะนักลงทุนหากต้องการลงทุนควรพิจารณาสัดส่วนหนี้สินต่อกำไร ผลประกอบการ และผลงานต่างๆ ของบริษัทจดทะเบียนก่อนการตัดสินใจ” นายกิตติรัตน์ กล่าว
นางสาวจิตติมา อังสุวรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้นภูมิภาค บวกกับการปรับตัวทางเทคนิคหลังจากปรับตัวลดลงแรงในวันก่อนหน้า ขณะที่แนวโน้มวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาลงตามตลาดในสหรัฐฯ และเอเชีย และให้จับตาทิศทางค่าเงินเยนของญี่ปุ่น
นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บีฟิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามทิศทางตลาดในเอเชีย และการประกาศผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดของไทย อีกทั้งเป็นการปรับตัวทางเทคนิค ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังคงแกว่งตัวตามตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยให้จับตาผลประชุมเฟด
“แม้ราคาหุ้นจะร่วงลงต่ำมากแล้ว แต่นักลงทุนยังไม่ควรรีบร้อนเข้าไปลงทุน ต้องรอดูผลประกอบการก่อนตัดสินใจ เพราะภาวะตลาดช่วงนี้มีความเสี่ยงสูง โดยมองแนวรับอยู่ที่ 384-387 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 400-408 จุด”
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มตามตลาดหุ้นขนาดใหญ่ในเอเชีย และเป็นการรีบาวน์ตามเทศนิคจากราคาที่ร่วงลงแรงจนทำเซอร์กิตเบรกเกอร์วันก่อนหน้า ส่วนวันนี้คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหว ตามตลาดต่างประเทศ ซึ่งประเมินแนวรับอยู่ที่ 380-390 จุด และแนวต้านอยู่ที่ 410 จุด
|
|
|
|
|