|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
รอยเตอร์ – ประเทศไทยมีความเสี่ยงทางด้านการเมืองและสังคมมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของเอเชียแปซิฟิกในปี 2009 รองลงมาจากอินเดียเท่านั้น สืบเนื่องจากปัญหาความไร้เสถียรภาพภายในเป็นปัจจัยหลัก ทั้งนี้เป็นการจัดอันดับของ บริษัทที่ปรึกษาด้านความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ (เพิร์ก)
เพิร์ก ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง ได้เผยรายงานการประเมินความเสี่ยงของประเทศในเอเชียแปซิฟิก 16 ประเทศ โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความวุ่นวายทางการเมือง การคุกคามจากพวกนักกิจกรรมทางสังคม และความไม่แน่นอนของนโยบายรัฐบาล จากนั้นให้ค่าคะแนนการประเมินซึ่งมีช่วงตั้งแต่ 0-10 คะแนน โดยค่าคะแนนศูนย์แสดงถึงสถานการณ์ทางสังคม-การเมืองที่ดีเยี่ยม ส่วนค่าคะแนน 10 แสดงถึงสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงสูงสุด
ผลการประเมินปรากฏว่าอินเดียมีค่าคะแนนสูงสุดคือ 6.87 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดกลัวว่าจะได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านความมั่นคงและความไม่สงบในปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนั้นยังมีความไม่มั่นใจต่อผลการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปีหน้า อีกทั้งในระยะหลังก็ยังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงและการถูกจู่โจมจากพวกก่อการร้ายบ่อยครั้งขึ้นด้วย
“อินเดีย ไทย และมาเลเซียไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลกมากนัก แต่ปัญหาความเสี่ยงส่วนใหญ่เกิดจากปัจจัยภายในประเทศ” รอเบิร์ต แบรดฟุต กรรมการผู้จัดการของพีอีอาร์ซ๊ กล่าว
ทั้งนี้รายงานของพีอีอาร์ซีระบุด้วยว่า “สำหรับประเทศทั้งสามนี้ พายุเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะถล่มเข้ามาจะเข้าเสริมให้สถานการณ์เลวร้ายลงยิ่งขึ้น” อย่างไรก็ตาม “อินเดียยังเป็นประเทศที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้าไปลงทุนอยู่ดี ไม่ว่าจะใครจะชนะการเลือกตั้งปีหน้าก็ตาม”
ส่วนไทยนั้นรั้งอันดับสองของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดในเอเชียในปี 2009 ด้วยค่าคะแนน 6.28 เนื่องจากปัญหาความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะส่งผลกระทบลากยาวไปถึงปี 2009 โดยจะกระทบต่อสถาบันหลักๆ ของประเทศด้วย
สำหรับมาเลเซียมีความเสี่ยงสูงเป็นอันดับสามในภูมิภาคนี้ ก็เพราะการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองได้ซ้ำเติมความตึงเครียดในเรื่องเชื้อชาติและศาสนาให้รุนแรงยิ่งขึ้น ในรายงานยังระบุด้วยว่า “สถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะได้เห็นการคัดค้านทางการเมืองที่รุนแรงกว่าในอดีต”
ส่วนประเทศในกลุ่มที่มีเสถียรภาพสูงสุดและมีความเสี่ยงทางการเมืองต่ำสุดในปีหน้าก็คือ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินโลกก็ตาม
ส่วนสหรัฐฯ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวิกฤตการณ์ทางการเงิน ก็กำลังอ่อนแอลงทั้งทางเศรษฐกิจและจิตวิทยา ขณะที่ศักยภาพทางด้านการเมืองและการทหารก็จะลดต่ำลงจากเดิม อีกทั้งจะมีความกระตือรือร้นกับการผลักดันแนวคิดต่างๆ ของตนในต่างประเทศน้อยลงตามไปด้วย โดยจะหันไปพึ่งพาพันธมิตรอย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลียมากขึ้นในส่วนที่เกี่ยวกับเอเชีย
ประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกอย่างจีนได้คะแนน 5.33 เนื่องจากรัฐบาลจะต้องเผชิญกับความยุ่งยากในการรักษาระดับการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจไว้ พร้อมไปกับการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศเพื่อรับมือกับตลาดส่งออกที่จะอ่อนตัวลงในปีหน้า
|
|
|
|
|