|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
![](/img/mgrm/space.gif) |
นักวิเคราะห์ชี้หุ้นตัวใหญ่ กลุ่มแบงก์-สื่อสาร น่าสนใจพื้นฐานยังเติบโตได้ แต่ดัชนียังไม่ถึงจุดต่ำสุดเพราะวิกฤตเศรษฐกิจรอบนี้ลากยาว เตือนเลี่ยงลงทุน4 กลุ่มหลัก ทั้งส่งออก ปิโตรเคมี ท่องเที่ยว อิเล็กทรอนิกส์ เหตุดีมานด์จากนอกประเทศหดตัว
วรุตม์ ศิวะศริยานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคคาะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ฟินันซ่า กล่าวว่า การลงทุนในระยะสั้นนั้นยังถือว่ามีความเสี่ยง เนื่องจากโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวลดลงต่อยังมีอีกมาก แต่สำหรับมุมมองในระยะเวลา 12 เดือนต่อจากนี้ไปยังคงมีมุมมองที่เป็นบวก และเชื่อว่าเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ ดังนั้นการลงทุนในระยะยาวจึงมีแนวโน้มที่ดีอยู่
สำหรับการลงทุนในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า หุ้นเด่นที่น่าสนใจลงทุนได้แก่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารกสิกรไทย(KBANK) ธนาคารกรุงเทพ(BBL) และ ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) โดยเลือก KBANK เป็นหุ้นเด่นที่สุดในกลุ่ม เนื่องจากสถานะทางการเงินโดยรวมแข็งแกร่ง มีความมั่นคง ในภาวะวิกฤตแบงก์ที่มีการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม มีการบริหารจัดการที่ดี ทั้งในเรื่องสินเชื่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีโครงสร้างที่เข้มแข็ง เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตครั้งนี้น้อยมาก
ด้านกลุ่มสื่อสาร เลือกหุ้น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC) เนื่องจากระยะยาวจะได้รับผลประโยชน์และมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงระบบ 3G และเป็นหุ้นที่มีความแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม สำหรับกลุ่มสาธารณูปโภค คือหุ้น บมจ.น้ำประปาไทย(TTW) ที่ธุรกิจพื้นฐานยังดำเนินต่อไปได้ดี ขณะที่กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง คาดว่าในปีหน้า หากโครงการเมกะโปรเจ็คเกิดขึ้น เชื่อว่าจะได้ประโยชน์เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2 หรือ 3 ของปี 52
ปรเมศร์ ทองบัว ผู้อำนวยการสำนักวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจคาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควร เนื่องจากภาพเศรษฐกิจทั่วโลกและสหรัฐฯยังมีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีกมาก หากปัญหาในสหรัฐฯยังหาจุดต่ำสุดไม่ได้ จากการประเมินของนักวิเคราะห์ต่างประเทศมองว่าราคาที่ปรับตัวลดลงนั้นเป็นการลดลงเพียงครึ่งหนึ่งของปัญหาเท่านั้น
"ดังนั้นกว่าดัชนีกว่าจะถึงจุดต่ำสุดคงอีกนาน คงต้องรอดูการประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(บจ.)ในเดือนนี้ถึงกลางเดือนหน้า และอีกช่วงคือต้นเดือนม.ค.ปีหน้าว่าผลขาดทุนเริ่มลดลงหรือยัง หากยังก็ต้องรอดูต่อไปในไตรมาส 2/52 การฟื้นตัวจะเริ่มเห็นได้ในครึ่งปีหลัง จุดต่ำสุดคงไม่ได้เห็นในรยะสั้นนี้ เพราะวิกฤตนั้นเกิดจากปัญหาข้างนอกไม่ได้เกิดในบ้านเรา"
สำหรับหุ้นเด่นที่เลือกในการลงทุนคือ SCB เนื่องจากมีการตั้งสำรองเทียบกับ NPLs เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้วสูงมาก ขณะที่สำรองส่วนเกินเมื่อเทียบกับสินเชื่ออยู่ในระดับสูงเช่นกัน ดังนั้นหาก NPLsเพิ่มขึ้นแบงก์ก็จะมีความสามารถในการรับภาระได้มากกว่าแบงก์อื่น ๆ เนื่องจากมีสำรองส่วนเกินสูง
ส่วนกลุ่มสื่อสารยังคงเลือก ADVANC เช่นกัน เนื่องจากจะได้ประโยชน์สูงสุดจากระบบ3G หากมองในกลุ่มทั้ง 3 บริษัทถือว่าได้ประโยชน์สูงสุดและมีการจ่ายเงินปันผลมากที่สด และกลุ่มอื่น ๆ เช่น บมจ.ซีพีออล์(CPALL) เนื่องจากยอดขายยังโตได้ต่อเนื่อง มีการเปิดสาขาปีละ 300-400 สาขาและหุ้น บมจ.น้ำปะปาไทย(TTW) ยังมีการเติบโตที่ดีทั้งยอดขายและราคาน้ำ มีการขยายช่องทางต่อเนื่อง ขณะที่สัมปทานใหม่ก็จะมีเข้ามา
สำหรับหุ้นที่ยังคงแนะนำให้เลี่ยงการลงทุนนั้น คือกลุ่มพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบจากการใช้ที่ลดลง รวมถึงหุ้นที่ผูกพันกับราคาน้ำมันเนื่องจากเมื่อราคาหุ้นขึ้น ก็จะได้รับผลประโยชน์จากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น หากราคาน้ำมันลดลงค่าการกลั่นก็จะลดลงตามไปด้วย
ส่วนหุ้น บมจ.บ้านปู(BANPU) เชื่อว่าในระยะสั้นนี้คงจะยังไม่เห็นผลกระทบที่เกิดขึ้น เนื่องจากการซื้อขายถ่านหินจะเป็นการซื้อขายล่วงหน้า และมีการตกลงราคาไว้ล่วงหน้า จึงเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เช่นจะกำหนดราคาล่วงหน้า 8-9 เดือน จึงเชื่อว่ากำไรน่าจะเติบโตต่อไปได้อีก และบริษัทจะมีกำไรจากการขายโรงไฟฟ้าด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้เกี่ยวข้องทั้งหมด แต่จะต้องดูพื้นฐานของบริษัทนั้น ๆ ด้วยว่ายังมีพื้นฐานที่ดีหรือไม่
ด้านกลุ่มส่งออก เชื่อว่าจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง เนื่องจากส่วนใหญ่จะมีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ยุโรป ที่ขณะนี้กำลังมีปัญหา จึงเชื่อว่าปริมาณการลงทุนจะลดลงโดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ที่อาจจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นสินค้าที่ไม่ค่อยจำเป็น และกลุ่มเดินเรือ
ทั้งนี้หุ้นที่นักลงทุนควรเลี่ยงการลงทุน คือกลุ่มส่งออก อิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมี นอกจากนั้นยังมองว่ากลุ่มท่องเที่ยงก็จะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากยุโรป และเชื่อว่านักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในไตรมาส 4 จะลดลง
|
|
![](/img/mgrm/divition_menu_below.gif) |
|
|