Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 สิงหาคม 2546
เอเปกSMEประเดิมถกเน้นธุรกิจขนาดเล็กมาก             
 


   
search resources

APEC
สุธรรม อยู่ในธรรม




การประชุมและสัมมนาภายใต้เอสเอ็มอี เวิร์ก กิ้งกรุ๊ป ก่อนการประชุมระดับรัฐมนตรี เน้นไปที่กลุ่มธุรกิจขนาดเล็กมากหรือ ไมโครเอ็นเตอร์ไพรส ซึ่งถูกละเลยมานานและไม่มีฐานข้อมูล มากเท่ากับกลุ่มขนาดกลางและย่อม เผยตัวเลขประเทศไทยมีผู้ประกอบการรากหญ้าวัยรุ่นมาก ที่สุด ในบรรดาเขตเศรษฐกิจทั้งหมด แต่ไม่นับเป็นสัญญาณที่ดีเพราะยังขาดคุณภาพ ไทยรับหน้าเสื่อจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อพัฒนากลุ่มไมโคร

การประชุมเอเปก เอสเอ็มอี 2003 กำหนดจัดขึ้นระหว่าง 4-8 สิงหาคม 2546 ที่จังหวัดเชียงใหม่โดยมีสถานที่จัดประชุมและทำกิจกรรม 3 แห่ง คือ โรงแรมอิมพีเรียลแม่ปิง โรงแรมเวสทิน และหอประชุมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งใช้เป็นที่จัดแสดงสินค้าสุดยอดหนึ่งผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบล

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ก็ได้มีกิจกรรมล่วงหน้าก่อนการประชุม เป็นการสัมมนาว่าด้วยการพัฒนาผู้ประกอบการโดยมี นายมนู เลียวไพโรจน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน สำหรับตัวแทนประเทศไทยได้เน้นการนำเสนอแนวคิดเรื่องการระดมทุน โดยดร.คณิศ แสงสุพรรณ จากสำนักเศรษฐกิจการคลังเป็นผู้อภิปรายเพื่อชี้ให้เห็นว่า ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อย มีปัญหาการเข้าถึงเงินทุน ในส่วนของไทยมีการพยายามแก้ปัญหานี้ โดยการจัดตั้งสำนักงานส่งเสริม SME ตั้งธนาคารพัฒนา SME ธนาคารหมู่บ้าน ธนาคารประชาชน

หัวข้อที่ประเทศไทยได้เลือกนำเสนอในการสัมมนาวันแรก ที่น่าสนใจอีกหัวข้อหนึ่ง คือ แนวทางการระดมทุนการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน นำเสนอโดยนายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา ผู้อำนวยการ สำนักงานการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนปัญหาบางประการเช่นสินทรัพย์ ที่ยังไม่เคยเป็นที่ยอมรับว่าสามารถ แปลงเป็นทุนได้ เช่น สิทธิในที่ ทำกิน ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจะต้องกำหนดรายละเอียด กระบวนการแปลงสินทรัพย์กลุ่มดังกล่าวต่อไป

ด้านนายซัน เคว ไล เลขาธิการ การวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม กระทรวงการเศรษฐกิจไต้หวัน เปิดเผยถึงกองทุนร่วม (venture capital) ว่า ในไต้หวัน กองทุนประเภทนี้ได้เติบโตอย่างมาก ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ไต้หวันเป็นหนึ่งในเศรษฐกิจ ที่มีกองทุนร่วมทุนที่มีพลวัตมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ทั้งนี้ กองทุนร่วมนี้เพิ่มมูลค่าขึ้นจาก 25,460 ล้านดอลลาร์ไต้หวันเมื่อปี 2539 เป็น 134,100 ล้านดอลลาร์ไต้หวันในปี 2544 ซึ่งปัจจุบันกองทุนในลักษณะนี้ได้กลายมาเป็นแหล่งทุนที่สำคัญของกิจการแรกตั้งในไต้หวัน โดย 96% ของการลงทุนจากกองทุนประเภทนี้เป็น การลงทุนในกิจการไฮเทค

ขณะที่ นายคาร์ลอส เฟอราโร ผู้อำนวยการสำนักอุตสาหกรรมแห่งชาติ เปรู ได้กล่าวว่า กองทุนร่วม (venture capital) เป็นเครื่องมือทางการเงินซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ของผู้เริ่มก่อตั้งกิจการในระยะไม่กี่ปีมานี้ อย่างไรก็ตาม การที่กองทุนประเภทนี้เน้นการลงทุนในกิจการไฮเทค ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ ซึ่งมีศักยภาพทางด้านอื่นๆ เช่น สิ่งทอ อาหาร หรือเครื่องใช้ทั่วไปยากที่จะเข้าถึงแหล่งทุนประเภทนี้ได้ ซึ่งเห็นว่าจะต้องมีการกำหนดกรอบเกณฑ์ทางกฎหมายใหม่ ให้ประเทศกำลังพัฒนาสามารถนำสินทรัพย์ในสังคมมาแปลงเป็นหลักทรัพย์ ที่สามารถใช้เป็นทุนหรือค้ำประกันเพื่อเข้าถึงแหล่งทุนได้

ไทยทำแผนปฏิบัติการ Micro- Enterprise

ส่วนการประชุมกลุ่มย่อย เรื่องธุรกิจรายย่อยครั้งที่ 1 (1st Sub-Group on Micro- Enterprise) ริเริ่มจัดขึ้นเป็นครั้งแรกภายใต้กรอบเอเปก SME จัดขึ้นเมื่อวานนี้ (4 ส.ค.) ซึ่งถือเป็นกิจกรรมก่อนหน้าการประชุมระดับคณะกรรมการและระดับรัฐมนตรีที่จัดขึ้นในวันที่ 5-6 สิงหาคม และ 7-8 สิงหาคม ตามลำดับ

การประชุมกลุ่มย่อยนี้ เป็นผลสืบเนื่องจากมติการประชุมคณะทำงานเอเปกเอสเอ็มอี (APEC SME Working Group) ครั้งที่ 16 ที่มาเลเซีย ซึ่งมีมติให้เน้นการพูดคุยเรื่องการพัฒนาผู้ประกอบการเรื่องการพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อย (Micro Enterprise) การประชุมนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของ APEC SME Working Group ครั้งที่ 17 ที่จังหวัดเชียงใหม่

รศ.สุธรรม อยู่ในธรรม คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทำงานการประชุมเรื่องธุรกิจรายย่อยครั้งที่ 1 แถลงว่า ความสำคัญของการประชุมนี้ คือ การหยิบยกประเด็นเรื่องธุรกิจรายย่อยมาหารือ เนื่องจากว่าธุรกิจประเภทนี้ถือว่า เป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจที่มองไม่เห็น และทุกๆ ประเทศต่างมีปัญหาในการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจประเภทนี้เหมือนๆ กัน จึงเห็นควรให้มีการหาข้อมูลที่ชัดเจน เกี่ยวกับธุรกิจรายย่อยเพื่อป้องกันการเสียเปรียบในการแข่งขัน เนื่องจากการเปิดเสรีทางการค้า พร้อมทั้งมีการพัฒนาให้ยั่งยืน

นอกจากนี้ ในการประชุมเรื่องธุรกิจรายย่อยครั้งที่ 1 นี้ยังจะมีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจรายย่อยด้วย โดยไทยได้รับความไว้วางใจจากประเทศต่างๆ ให้เป็นผู้จัดทำแผนดังกล่าว ที่เพิ่งมีการจัดทำขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งจะได้มีการนำเสนอ เพื่อพิจารณาเบื้องต้น 6 ประเด็น ได้แก่ 1.ให้มีการรวบรวมข้อมูลธุรกิจรายย่อย 2.จัดทำนโยบาย กฎหมาย กฎเกณฑ์ที่สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจรายย่อย

3.เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรการเงินสำหรับธุรกิจรายย่อย 4.เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีของธุรกิจรายย่อย เพื่อช่วยพัฒนาและให้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต 5.ช่วยเพิ่มความสามารถ ในการบริหารจัดการให้ธุรกิจรายย่อย และ 6.มีโครงการเพิ่มความสามารถแก่ธุรกิจรายย่อยให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก

ศาสตราจารย์เดนิส แมคนารามา แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กล่าวในการประชุมธุรกิจรายย่อยว่า ธุรกิจรายย่อยหรือระดับไมโคร จำเป็นต้องอาศัยการจัดการในระดับท้องถิ่นที่ดี ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ รัฐจะต้องเข้าไปจัดการและดูแลธุรกิจระดับนี้ให้มากขึ้น

ไทยแหล่งธุรกิจรายย่อย

ศาสตราจารย์เดนิส กล่าวต่ออีกว่า ประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยจำนวนมากและก็เป็นกลุ่มที่มีข้อมูลน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดกลางและย่อม ตัวเลขบ่งชี้คือ การเติบโตของกลุ่มเอสเอ็มอี เติบโตสูงกว่ากลุ่มธุรกิจระดับไมโครเป็นสองเท่าทุก ๆ ปี

ข้อมูลที่หยิบขึ้นมาพิจารณา ในระหว่างการประชุมเอเปกเอสเอ็มอีครั้งนี้ ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือ ได้สำรวจกลุ่มประชากรรุ่นหนุ่ม สาววัยระหว่าง 18-21 ปี และพบว่ามีถึง 8% ของ ประชากรที่สำรวจเป็นเจ้าของธุรกิจเอง และเมื่อจำแนกเป็นรายประเทศ พบว่าประเทศไทยมีเด็ก วัยหนุ่มสาว เป็นเจ้าของกิจการระดับไมโครเอ็นเตอร์ไพรส์ถึง 18% ถือเป็นสัดส่วนมากที่สุด ขณะที่เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นมีเด็กวัยนี้เป็นเจ้าของกิจการเพียง 2% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจากผลสำรวจบ่งบอกว่า ประเทศไทยมีเด็กวัยหนุ่มสาวเป็นเจ้าของกิจการระดับไมโครเอ็นเตอร์ไพรส์สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 เท่า แต่จากผลสำรวจเดียวกันนี้ก็ได้ชี้ว่า ประเทศไทยมีความโดดเด่นทางด้านนี้ ในแง่ของปริมาณเท่านั้น เพราะในด้านคุณภาพแล้ว ยังมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาอีกมาก

ขณะที่นายตรงใจ ทรรพวสุ นายกสมาคมไทยผู้ประกอบการธุรกิจแฟคตอริ่ง แถลงว่า ภาคการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจรายย่อย ทั้งนี้ทุกประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างนิเวศ ทางการเงินที่เหมาะสม และเปิดกว้างเพื่อให้ความ ช่วยเหลือแก่ธุรกิจประเภทนี้ ขณะเดียวกันควรมีการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อยเกิด การรวมตัวกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจด้วย

ด้าน ดร.รุ่งเรือง ทิพยศิริ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังมีนโยบาย ที่จะเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้แก่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่ให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีโดยตรง โดยการลดต้นทุนในการดำเนินการ เพื่อให้สามารถทำการแข่งขันกับสถาบันการเงินเอกชนได้

การกีดกันทางการค้า /แข่งขันสูงอุปสรรคสำคัญเอสเอ็มอีส่งออก

ในการสัมมนาเรื่องการส่งเสริมประชาคมของ SME ผู้ส่งออกในเอเปก มุมมองจากธุรกิจ ที่ประชุมร่วมกันชี้ชัดว่า วิสาหกิจขนาดกลางและย่อม ที่มีอุปสรรคในการส่งออกอย่างมากนั้น เกิดจากข้อจำกัด ที่เกิดขึ้นภายในแต่ละกิจการเองและอุปสรรคจากภายนอก

นายคายยา อาหมัด ประธานบริหารเครือ Iryas Group ของมาเลเซีย กล่าวว่า SME มีปัญหาเรื่องต้นทุนการผลิตและการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ นอกจากนั้นยังเจออุปสรรคจากภายนอก ได้แก่ การกีดกันทางการค้า โดยมาตรการต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษี รวมทั้งการแข่งขันอย่างรุนแรง ที่ทำให้ต้องตัดราคา การทำความตกลงการค้าเสรีต่างๆ ยิ่งเร่งสถานการณ์ดังกล่าว ให้กดดัน SME มากขึ้น

ด้านนายเหงียน ว่า เกือง จากกระทรวงวางแผนของเวียดนาม กล่าวว่า SME กำลังพบอุปสรรคด้านการแข่งขันอย่างรุนแรง จากบริษัทยักษ์ใหญ่ รวมทั้งมาตรการการกีดกันทางการค้า ที่ไม่ใช่ภาษีและปัญหาค่าใช้จ่ายสูง ในการวิจัยตลาดหรือแสวงหาคู่ค้าในต่างประเทศ

รัฐบาลสมาชิกเอเปกควรจะเร่งดำเนินการ เพื่อช่วยเหลือSME รวมทั้งลดอุปสรรคขั้นตอนเอกสารต่างๆ และเพิ่มการบริการข้อมูลทางเว็บไซต์ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us