บัตรกรุงไทย โชว์ผลงานครึ่งปีแรกกำไรสุทธิเกือบ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
23% แม้กำไรไตรมาส 2 จะลดลงจากปีก่อน 17% ระบุรายได้รวมกว่า 1.1 พันล้านบาท ขณะที่ยอดบัตรเครดิตเพิ่มเป็น
7 แสนใบ หลังเน้นนโนบายการตลาดเชิงรุกเพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น
นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
หรือ KTC กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 2 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546
ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 98.24 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.98 บาท เทียบกับงวดเดียว
กันของปีก่อนกำไรสุทธิ 118.57 ล้าน บาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 23.71 บาท หรือกำไรสุทธิลดลง
17.15%
ขณะที่ผลการดำเนินงานสะ สม งวด 6 เดือน กำไรสุทธิ 149.92 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น
1.50 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน กำไรสุทธิ 121.99 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น
24.40 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 22.89%
โดยบริษัทมีรายได้รวม 608.35 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้จากค่าธรรมเนียม 260.68
ล้านบาท คิดเป็น 43% ของรายได้รวม รายได้จากดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 318.73 ล้านบาท
คิดเป็น 52% ของ รายได้รวม และรายได้อื่นๆ จำนวน 28.94 ล้านบาท
สำหรับรายได้จากดอกเบี้ยรับจำนวน 318.73 ล้านบาท คิดเป็น รายได้ดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้บัตรเครดิตจำนวน
282.78 ล้านบาท และรายได้ดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตจำนวน 35.96 ล้านบาท
หรือคิดเป็น 46% และ 6% ของรายได้รวมตามลำดับ
นายนิวัตต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ของบริษัทไม่สามารถเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนได้
เนื่องจากในปี 2545 บริษัทได้ทำหน้าที่รับจ้างบริหารบัตรเครดิตให้กับธนาคารกรุงไทย
จึงเป็นรายรับค่าธรรมเนียมการบริหารเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสแรก
ปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 557.53 ล้าน บาท หรือมีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้น 8.35%
โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจาก รายได้ดอกเบี้ยรับจากธุรกิจบัตรเครดิตเป็นหลัก
ด้านค่าใช้จ่ายในไตรมาส 2 ปี 2546 มีจำนวนทั้งสิ้น 405.27 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสแรกที่มีค่าใช้จ่ายรวม
423.09 ล้านบาท หรือลดลง 4.21% และคิดเป็น 67% ของ รายได้รวมไตรมาสนี้ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวม 319.47 ล้านบาท หนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ 85.80
ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้รวมเท่ากับ 53% และ 14% ตามลำดับ
ส่วนผลการดำเนินงานสะสมงวด 6 เดือน บริษัทมีรายได้รวม 1,165.88 ล้านบาท ประกอบด้วย
รายได้จากค่าธรรมเนียม 514.18 ล้านบาท คิดเป็น 44% ของรายได้รวม และรายได้จากดอกเบี้ยรวม
590.75 ล้านบาท คิดเป็น 51% ของรายได้รวม ส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากการบริหารงานบัตรเดบิตให้กับธนาคารกรุงไทย,
รายได้จากหนี้สูญได้รับคืน และรายได้อื่นๆ เท่า กับ 5.0, 52.84 และ 3.11 ล้านบาท
ตามลำดับ
โดยรายได้จากดอกเบี้ยจำนวน 590.75 ล้านบาท แยกเป็นรายได้ดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้บัตรเครดิต
และจากลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิต เท่ากับ 522.55 และ 68.2 ล้านบาท หรือคิดเป็น 45%
และ 6% ของรายได้รวมตามลำดับ
ด้านค่าใช้จ่าย ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 828.37 ล้านบาท
คิดเป็น 71% ของ รายได้รวม แยกเป็นค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวม 692.71 ล้านบาทหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญ
135.65 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อรายได้รวมเท่ากับ 59% และ 12% ตามลำดับ
นายนิวัตต์ กล่าวถึง สถานะทางการเงินณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546 ว่า บริษัทมีจำนวนบัตรเครดิต
ทั้งสิ้น 702,047 ใบ เทียบกับ ณ สิ้นสุดไตรมาสที่ 1 มีจำนวนบัตร 628,147 ใบ คิดเป็นอัตราการเติบโต
11.8% ทั้งนี้ฐานบัตรยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตามแนวโนบายการตลาดเชิงรุกของต้องการให้มีการขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น
ส่วนยอดลูกหนี้บัตรเครดิตสุทธิเพิ่มจาก 7,234.17 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2545 เป็น
9,493.86 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2546 หรือเพิ่มขึ้น 31.24% ขณะที่ยอดลูกหนี้ธนวัฏบัตรเครดิตลดลงจาก
942.33 ล้าน บาท ณ สิ้นปี 2545 เหลือเพียง 864.45 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน 2546
หรือลดลง 8.26%
ด้านเงินกู้ยืม ณ สิ้นไตรมาส 2 มีจำนวนทั้งสิ้น 9,140 ล้านบาท เพิ่ม ขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่มีจำนวนเท่ากับ
7,007.78 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 3,240 ล้านบาท และเงินกู้ยืมระยะยาว
5,900 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนระยะสั้นต่อระยะยาวเท่ากับ 35% ต่อ 65%
โดยเงินกู้ยืมจำนวนดังกล่าว เป็นเงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงไทยจำนวน 2,930 ล้านบาท
ส่วนที่เหลือ เป็นการออกหุ้นกู้ และเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินอื่นๆ เท่ากับ 5,000
และ 1,210 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของบริษัทที่ต้องการกระจายแหล่งเงินกู้ยืม
ไม่อิงกับสถาบันการเงินแห่งใดแห่งหนึ่งเพียงแห่งเดียว
จากเงินกู้ยืมดังกล่าวทำให้เกิดค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ย จ่ายสำหรับงวด 3 เดือน
และงวด 6 เดือน สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2546 เป็นจำนวน 56.19 ล้านบาท และ 114.16 ล้านบาทหรือคิดเป็น
9.23% และ 9.79% ของรายได้รวมตามลำดับ