สหวิริยาสตีลฯ จับตา หลังพบปริมาณเหล็กแผ่นรีด ร้อนฯนำเข้าเริ่มสูงอย่างผิดสังเกต
โดยนำเข้ามาจาก 14 ประเทศที่ถูก AD และนอกกลุ่มประเทศดังกล่าว หลังรัฐผ่อนผันการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด
10 พิกัดที่ใช้ใน 4 อุตสาหกรรมต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี หวั่นหวนกลับมาทุ่มตลาดในไทยอีกครั้ง
หลังจากระทรวงพาณิชย์ได้ผ่อนผันการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อน โดยยกเว้นการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด(AD)สำหรับ
10 พิกัด ที่นำเข้าไปผลิตในอุตสาหกรรม ต่อเนื่องทั้ง 4 ประเภท คือ ยานยนต์ และชิ้นส่วน
เครื่องใช้ไฟฟ้า งานเคลือบสังกะสีสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า และงานเคลือบสังกะสีที่เข้มงวดเรื่องความเรียบร้อย
โดยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมต่อเนื่องในการซื้อสินค้าเหล็กรีดร้อน เพื่อไปรีดเย็นต่อ
ต้องซื้อเหล็กรีดร้อนในประเทศในอัตราร้อยละ 55, 63 , 77, 91 และ 99 ของปริมาณการใช้เหล็กรีดร้อนเพื่อไปรีดเย็นในแต่ละปี
เป็นเวลา 5 ปี
นายวิน วิริยประไพกิจ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี
จำกัด (มหาชน) (SSI) กล่าวว่า ขณะนี้ปริมาณการนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเริ่มเพิ่มขึ้นจนผิดสังเกต
ซึ่งเป็นการนำเข้าจากประเทศที่ถูกโต้ตอบการทุ่มตลาด 14 ประเทศ และนอกเหนือจากประเทศที่ถูกตอบโต้
ซึ่งบริษัทฯได้จับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังกระทรวงพาณิชย์ เพราะต้องรอดูข้อเท็จจริงก่อนว่า
เหล็กแผ่นรีดร้อนที่นำเข้ามานั้นมีการสำแดงนำเข้าถูกพิกัดหรือไม่ เพราะพิกัดเหล็กแผ่นรีดร้อนของไทยมีกว่า
100 พิกัด มีบางพิกัดเท่านั้นที่ประกาศเก็บภาษี AD ส่วนพิกัดที่เหลือต้องเสียภาษี
AD หวั่นว่าจะมีผู้นำเข้าบางรายเลี่ยงภาษี โดยมาสำแดงเท็จ
รวมทั้ง ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนนำเข้าฯนั้นต้องไม่ขายต่ำเกินจริง หรือเป็นการทุ่มตลาดในประเทศ
หากพบว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ก็จะทำหนังสือร้องต่อกระทรวงพาณิชย์ให้ดำเนินการตอบโต้
ก่อนที่อุตสาหกรรมในประเทศจะได้รับความเดือดร้อน
แหล่งข่าวจาก SSI ได้กล่าวว่า ขณะนี้แนวโน้มทั่วโลกต่างใช้วิธีปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กภายในประเทศ
แต่ผู้ประกอบการเหล็กแผ่นรีดเย็นของไทยไม่ยอมรับคุณภาพเหล็กแผ่นของ SSI ทั้งๆ ที่ผลิตได้ตามคุณภาพก็ตาม
ทำให้กระทรวงพาณิชย์ตัดสินใจผ่อนผัน ยกเว้นการเรียกเก็บ AD ใน 10 พิกัดที่ใช้ใน
4 อุตสาหกรรมข้างต้น
นายวิน กล่าวถึงผลกระทบหลังรัฐผ่อนผันการเรียกเก็บ AD เหล็กแผ่นรีดร้อนนำเข้าว่า
ทำให้ปริมาณการขายเหล็กแผ่นรีดร้อนในประเทศน้อยลงไปตามสัดส่วนการนำเข้าจากต่างประเทศ
ซึ่งในปีนี้บริษัทได้ปรับเป้าหมายการผลิต ใหม่จากเดิม 2.4 ล้านตันเป็น 2.1 ล้านตันแทน
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ จะมุ่งพัฒนาเหล็กแผ่นรีดร้อนฯ ให้มีคุณสมบัติตามที่ผู้ใช้ในประเทศเรียกร้อง
หวังทดแทนการนำเข้าในอนาคต โดยเงินที่ใช้ในการลงทุนพัฒนานั้นมาจากเงินทุนหมุนเวียน
โดยปีนี้ บริษัทฯมีแผนออกหุ้นกู้จำนวน 6 พันล้านบาท อายุ 5 ปีก่อนสิ้นปี 2546
เพื่อนำมาชำระหนี้และใช้ลงทุนในโครงการใหม่ รวมทั้งเจรจากับเจ้าหนี้รายเดิม 2 รายเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้
1.2 หมื่นล้านบาท หวังลดต้นทุนทางการเงินทำให้ ต้นทุนต่อหน่วยลดต่ำลง
รวมทั้งอยู่ระหว่างการดำเนินงานโครงการ Pickle and Oil เพื่อป้อนอุตสาหกรรมยานยนต์
และเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งดำเนินการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในธันวาคมนี้
ปัจจุบันไทยมีกำลังการผลิตเหล็กแผ่น รีดร้อนถึง 6.50 ล้านตัน คิดเป็นสินทรัพย์รวม
8.18 หมื่นล้านบาท ขณะที่ความต้องการใช้ภายในประเทศอยู่ที่ 4.80 ล้านตัน โดยมีผู้ประกอบการเหล็กแผ่นรีดเย็น
3 รายในประเทศ คิดเป็นกำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน โดยมีเหล็กแผ่นรีดร้อนที่นำเข้าที่นำไปใช้รีดเย็นจำนวน
5 แสนตัน
โบรกฯ แนะซื้อ SSI ชี้ราคาหุ้นต่ำ
บริษัทหลักทรัพย์ ไซรัส วิเคราะห์หุ้น SSI ว่า ความผันผวนของตลาดส่งออกที่เกิดขึ้นในไตรมาส
2/2546 ของ SSI ทำให้ต้องปรับ Product Mix รวมทั้งการหยุดเตาหลอมเหล็กในพ.ย.นี้
ทำให้ปริมาณการผลิตลดลง จึงปรับเป้าหมายการผลิตลดลงเหลือ 2.08 ล้านตัน โดยครึ่งปีหลังจะต้องขายให้ได้
1.05 ล้านตัน ซึ่งเป็นการขายในประเทศทั้งหมดเพราะไม่มีออร์เดอร์ส่งออกไปต่างประเทศเพิ่ม
หากจะส่งออกในครึ่งปีหลังจะเป็นแบบ Spot
ส่วน Metal Spread ในครึ่งปีหลังจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น
ซึ่งมีผลต่อผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง จากการประเมินผลกระทบต่างๆ คาดว่ากำไรสุทธิในปี
2546 จะลดลง 22.3% และคาดว่าจะลงอีก 5.8% ในปี 2547 แต่ PE ก็ยังต่ำเพียง 4.9%
และ 5.2% ในปีถัดไป เราจึงยังแนะนำให้ซื้อ โดยมีราคาเป้าหมายอยู่ที่ 11.20 บาท
สูงกว่าราคาปัจจุบัน 12.0%
บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน แสดงความเห็นไปในทางเดียวกับโบรกเกอร์รายอื่น
คาดการณ์ครึ่งปีหลัง SSI มีแนวโน้มกำไรปรับตัวลดลง 27% เมื่อเทียบจากปีก่อน มาอยู่ที่
2,509 ล้านบาท
แต่บริษัทฯเตรียมขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต
ซึ่งจะเป็นผลดีต่อ SSI ในระยะยาว ดังนั้นจึงแนะนำให้ซื้อ โดยราคาเป้าหมายระยะสั้นของเราอยู่ที่ระดับ
11 บาท และระยะยาว 14 บาท