SCC เตรียมออกหุ้นกู้ชุดใหม่ รีไฟแนนซ์หนี้เก่า โดยจะครบกำหนด 1 พ.ย.นี้จำนวน
6 พันล้านบาท แจงผลดำเนินงานไตรมาส 2 ปีนี้เพิ่ม 2% มั่นใจในปีนี้รายได้เพิ่มขึ้น
10% เชื่อครึ่งปีหลังทุกธุรกิจ โตต่อเนื่อง ส่วนการลงทุนใน UPPC ถึงจุดคุ้มทุนภายใน
2 ปี แต่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจกระดาษไม่เพิ่ม เพราะเป็นบริษัทขนาดเล็ก พร้อมประกาศจ่ายปันผลหุ้นละ
2.50 บาท วันที่ 28 ส.ค.นี้
นายชุมพล ณ ลำเลียง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)
(SCC) เปิดเผย การลงทุนในธุรกิจกระดาษและเยื่อกระดาษของบริษัท UPPC ในประเทศฟิลิปปินส์ว่า
หลังจากที่บริษัทได้เข้าซื้อ กิจการบริษัทดังกล่าวแล้ว คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนกลับคืนมาในระยะเวลา
2 ปี โดยผลการดำเนินงานของ UPDC จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2546 นี้และปี2547 จะเริ่มมีกำไรเข้ามา
"แม้ SCC จะลงทุนเพิ่มใน UPPC แต่สัดส่วนรายได้จากธุรกิจกระดาษยังไม่เพิ่ม เพราะขณะนี้เป็นช่วงของการลงทุน
ประกอบกับ UPPC เป็นบริษัทที่มีขนาดเล็ก ส่วนการลงทุนในต่างประเทศต้องค่อยเป็นค่อยไป
และรอโอกาส เราต้องเรียนรู้เพราะต่อไปตลาดทั้งอาฟตาและอาเซียนจะกลายเป็นตลาดเดียวกัน
ซึ่งธุรกิจเราก็ต้องก้าวไปพร้อมๆ กับตลาดนี้ รวม ทั้งต้องศึกษาลักษณะการทำธุรกิจในประเทศนั้นๆ
ด้วย" นายชุมพลกล่าว
โดย SCC ได้เข้าไปถือหุ้นของ UPPC เพิ่มจาก 43% เป็น 86% ทางบริษัทจะเข้าไปทำการปรับปรุงโครงสร้างภายในและเข้าไปปรับปรุงเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตด้วย
ซึ่งบางส่วนไม่ต้องลงทุนเพิ่ม และบางส่วนต้องใช้เงินลงทุนเพิ่ม
สำหรับการเข้าซื้อกิจการของบริษัท ฟินิกซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน) (PPPC)
นั้น ขณะนี้ผู้ถือหุ้นเดิมของ PPPC ยังไม่คิดจะขาย แต่หากมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ
PPPC เสนอ มา SCC ก็พร้อมจะรับไว้พิจารณา แต่ทั้งนี้ต้องดูราคาเสนอขายก่อนว่าจะเป็นอย่างไร
เพราะนายชุมพลมองว่าการซื้อธุรกิจคุ้มกว่าการสร้างโรงงานใหม่
เตรียมออกหุ้นกู้รีไฟแนนซ์หนี้เก่า
นายกานต์ ตระกูลฮุน ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ SCC กล่าวว่า ภาระหนี้ที่มีอยู่นั้น
บริษัทมีแผนลดภาระดอกเบี้ยจ่าย โดยการออกหุ้นกู้เพื่อใช้รีไฟแนนซ์หุ้นกู้ชุดเดิมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง
แต่จะออกจำนวนเท่าไหร่และอัตราดอกเบี้ยเท่าใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับภาวะของตลาดการเงินในขณะนั้น
โดยวันที่ 1 พ.ย.นี้ SCC จะมีกำหนดไถ่ถอน หุ้นกู้จำนวน 6 พันล้านบาท อัตราดอกเบี้ย
8% และในปี 2547 จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอนอีกประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท อัตราดอกเบี้ย
10% และหนี้ที่เหลือมีอัตราดอกเบี้ยระหว่าง 7.5-8%
ทั้งนี้ SCC มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ยในปี 2546 ประมาณ 6%โดยลดลงจากปี 2545 ที่มีภาระดอกเบี้ยจ่ายเฉลี่ย
6.8-7% และภายหลังการออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะทำให้ภาระดอกเบี้ยในปี 2547 เฉลี่ยต่ำกว่า
5% ซึ่งจะส่งผลให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง
ดังนั้น 1 พ.ย.นี้ SCC ต้องออกหุ้นกู้ชุดใหม่ เพื่อนำมาบริหารและชำระหนี้เดิม
ซึ่งต้องจ่ายดอก เบี้ยสูงถึง 6-8% ซึ่งจะอาศัยจังหวะที่ดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำ ขณะนี้บริษัทมีหนี้หุ้นกู้สูงถึง
65,600 ล้านบาท ที่สำคัญผู้บริหารต้องการลดหนี้ของบริษัทให้ลดลงได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย
ปัจจุบันบริษัทมีหนี้ทั้งสิ้น 1.2 แสนล้านบาท แบ่งเป็นหนี้หุ้นกู้ 8.6 หมื่นล้านบาท
ที่เหลือเป็นหนี้เงินกู้จากสถาบันการเงิน ขณะที่หุ้นกู้จะครบดีลในปีหน้ามีประมาณ
25,100 ล้านบาท
ผลดำเนินงานQ2โตเพียง2%
นายชุมพลกล่าวถึงผลดำเนินงานไตรมาส 2 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงาน
ก่อนรายการพิเศษเท่ากับ 3,510 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น
2% ในขณะที่ยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 6% EBITDA เพิ่มขึ้น13% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนแต่ลดลง
32% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการ พิเศษลดลง 32% และกำไรสุทธิลดลง 35% เนื่องมาจากการปรับตัวลดลงของราคาผลิตภัณฑ์
ปิโตรเคมีหลังจากภาวะสงครามอิรักสิ้นสุดลง รวมทั้งผลกระทบจากโรค SARS โดยในไตรมาส
นี้ เครือฯ มียอดขายสุทธิ เท่ากับ 36,045 ล้านบาท ลดลง 1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
และมี EBITDA เพิ่มขึ้น 14% เนื่องจากเงินปันผลจากบริษัทร่วม
โดยเป็นผลมาจากธุรกิจปิโตรเคมีของเครือฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนรายการพิเศษ
8,638 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไร 5,661 ล้านบาท
เนื่องจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของบริษัทร่วม
ซึ่งเป็นผลจากการดำเนินงานยอดขายรวมของไตรมาส 2 ในธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นร้อยละ
3 ธุรกิจปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 ธุรกิจซีเมนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 สำหรับการขยายตัวทางธุรกิจต่อเนื่องนั้นคาดว่าน่าจะเป็นธุรกิจกระดาษและบรรจุภัณฑ์ที่มีแนวโน้มจะลงทุนในประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้บริษัทเชื่อว่าภายในอีก 2 ปีจะสามารถลดภาระดอกเบี้ยได้ในวาระที่กำหนดและจะมีกำไรเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม SCC ยังมั่นใจว่าในปีนี้ บริษัทจะมีรายได้เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม
1.3 แสนล้านบาท โดยยอดขายของบริษัทฯยังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่าง ต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจ
ทั้งซีเมนต์ ปิโตรเคมี กระดาษ และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เป็นต้น
โดยครึ่งแรกปีนี้ SCC มียอดขายรวม 7.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
และคาดว่าในครึ่งปีหลัง SCC จะยังคงมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายตัวของที่อยู่อาศัยในประเทศไทยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
แต่ราคาวัสดุก่อสร้างไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่ในต้นปี 2547 ราคาเหล็กเส้นอาจขยับขึ้นบ้าง
เพราะการเก็งกำไรและในช่วงนั้นอาจผลิตเหล็กเส้นไม่ทัน
"แม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยจะขยายตัวมาก แต่เชื่อว่าราคาวัสดุก่อสร้าง
ค่อนข้างทรงตัวแล้ว ยกเว้นเหล็กที่ยังต้องนำเข้า ซึ่งราคาขึ้นลงตามสภาพของตลาด
อย่างไรก็ตามราคาวัสดุก่อสร้างครึ่งปีหลังจะไม่ปรับสูงขึ้น และธุรกิจที่อยู่อาศัยน่าจะดีต่อเนื่องไปถึงปีหน้า"
นายชุมพลกล่าว
พร้อมกันนี้ SCC ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอัตราหุ้นละ 2.50 บาท โดยจะจ่ายให้ผู้ถือหุ้นในวันที่
28 สิงหาคม 2546
ปูนกลางผลดำเนินงานQ2เพิ่ม27%
นายวินเซนต์ บิเชต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน)
(SCCC) เปิดเผยว่า ในงวดไตรมาส 2 ปี 2546 บริษัทมีผลประกอบการเป็นกำไรสุทธิทั้งสิ้น
53.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 204.79 ล้านบาท หรือร้อยละ 27.33 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ที่มีกำไรสุทธิ 749.13 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกปีมีกำไรสุทธิรวม
1,914.68 ล้าน บาท เพิ่มขึ้น 794.79 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 71 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 4,495 ล้านบาท
ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน 42 ล้านบาทหรือประมาณร้อยละ 1 เนื่องจากรายได้จากการขายสุทธิลดลง
40 ล้านบาทและรายได้อื่นลดลง 2 ล้านบาท แต่กำไรของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากกำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น
152 ล้านบาท รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง 61 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อยสำหรับงวด 6 เดือน ที่มีกำไรสุทธิรวม
1,915 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาขายสุทธิในปี 2546 ที่เพิ่มขึ้นรวมทั้งดอกเบี้ยจ่ายและต้นทุนการผลิตที่ลดลงเนื่องจากต้นทุนการผลิตของปีก่อนได้รวมต้นทุนส่วนเพิ่มสำหรับการเริ่มเดินเครื่องจักรเพื่อการผลิตใหม่