เจ้าหนี้ปูนทีพีไอเมินแฮร์คัทหนี้ 30% ตามข้อเสนอ ลูกหนี้ เผยเพิ่งได้สำเนาหนังสือยืนยันการปล่อยเงินกู้
750 ล้านเหรียญ ของแบงก์รัฐ และให้ตัวแทนแบงก์กรุงไทยมายืนยันการปล่อย สินเชื่อและเงื่อนไขต่างๆ
ก่อนตัดสินใจ อ้างเงื่อนไขปูนกลางสุดเลิศ ใส่เงินเพิ่มทุน 375 ล้านเหรียญ โดยไม่มีแฮร์คัทหนี้เงินต้น
ศาลฯนัดไกล่เกลี่ยใหม่อีกครั้งในวันพุธที่ 13 ส.ค.นี้
วานนี้ (31 ก.ค.) ศาลล้มละลายกลาง ได้นัดไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้ และลูกหนี้
คือบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) (TPIPL) ในฐานะผู้บริหารแผนฯเป็นครั้งที่สาม
ต่อจากการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งลูกหนี้ได้เสนอขอซื้อหนี้ทั้งหมดจากเจ้าหนี้คืน
โดยมีส่วนลด (Haircut) 30% ของหนี้ทั้งหมด 1.1 พันล้านเหรียญ และมีหนังสือยินยอมจากธนาคารรัฐแห่งหนึ่งที่จะปล่อยเงินกู้จำนวน
750 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายลือศักดิ์ กังวาลสกุล บริษัท คลิฟฟอร์ด ชานซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ปรึกษาทางกฎหมายของคณะกรรมการเจ้าหนี้
TPIPL กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ยังไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากเจ้าหนี้ยังไม่เห็นหนังสือยืนยอมจากธนาคารรัฐ
คือ ธนาคารกรุงไทย ที่จะปล่อยสินเชื่อ ให้ลูกหนี้ไปรีไฟแนนซ์
ดังนั้น ทางเจ้าหนี้จึงเสนอต่อศาลฯ 2 เรื่อง คือ 1.ขอหนังสือยืนยันว่าธนาคารรัฐจะปล่อยเงินกู้
ซึ่งขณะนี้ได้รับสำเนาหนังสือ ดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และ 2.ให้TPIPL เป็นผู้ประสานงานติดต่อตัวแทนแบงก์ดังกล่าว
เพื่อมายืนยันการปล่อยสินเชื่อในการประชุมไกล่เกลี่ยครั้งต่อไปในวันที่ 13 ส.ค.นี้
"เจ้าหนี้ต้องการให้ตัวแทนแบงก์มายืนยันการปล่อยเงินกู้ดังกล่าว และต้องการทราบเงื่อนไขและขั้นตอนต่างๆ
เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าหนี้ว่ามีสถาบันการเงินให้การสนับสนุนจริง ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจของเจ้าหนี้ว่าจะเลือกแนวทางใด"
นอกจากนี้ เจ้าหนี้ต้องการรับทราบว่าวง เงินกู้ 750 ล้านเหรียญสหรัฐนั้น จะเป็นเงินกู้แบบซินดิเคท
หรือแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้เพียงรายเดียว แต่เท่าที่ทราบ แบงก์กรุงไทยปล่อยกู้ได้เพียง
1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น (230 ล้านเหรียญ สหรัฐ) เนื่องจากติดเพดานเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง
หากปล่อยสินเชื่อมากกว่านี้ต้องขออนุญาตจากแบงก์ชาติ
หากเป็นการปล่อยกู้ร่วมก็ควรจะมีหนังสือ ยืนยันจากธนาคารอื่นๆ ที่จะปล่อยกู้ร่วมด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากตัวแทนแบงก์กรุงไทยยืนยันปล่อยกู้ เจ้าหนี้คงจะพิจารณาอย่างจริงจัง
เพราะไม่มีจุดประสงค์ที่จะคัดค้าน ถ้าลูกหนี้ชำระหนี้ได้เจ้าหนี้ก็แฮปปี้ แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ
ด้วย เช่นการชำระหนี้จะชำระครั้งเดียว หรือทยอยจ่าย เป็นต้น
นายลือศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ในการประชุมครั้งนี้ ไม่ได้มีการหารือเกี่ยวกับตัวเลขการ
Haircut เพราะข้อมูลไม่พร้อม และต้องรอคำชี้แจงจากตัวแทนธนาคารกรุงไทยก่อน จึงค่อยพิจารณาสัดส่วนการลดหนี้
เปรียบเทียบกับข้อเสนอของบมจ.ปูนซีเมนต์นครหลวง (SCCC)
ข้อเสนอเดิมของ SCCC ซึ่งมีกลุ่มโฮลซิมถือหุ้นใหญ่ ระบุว่า จะใส่เงินเพิ่มทุนจำนวน
375 ล้านเหรียญสหรัฐ แลกกับหุ้นTPIPL คิดเป็นสัดส่วน 75% ของหุ้นทั้งหมด โดยเงินเพิ่มทุนนั้นจะนำมาชำระหนี้
โดยเจ้าหนี้ไม่ต้อง Haircut เงินต้นแต่อย่างไร ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ดีกว่าTPIPLเสนอมา
"ในมุมมองเจ้าหนี้เห็นว่าข้อเสนอของ SCCC เป็นการอัดฉีดเงินทุน โดยไม่มีต้นทุนการเงิน(ดอกเบี้ยจ่าย)
และ Haircut เป็นข้อเสนอที่ดี ทำไมTPIPLจึงต้องดิ้นรนไปขอกู้เงินมา ซึ่งมีต้นทุนการเงิน
เชื่อว่าทางลูกหนี้คงไม่ต้องการเสียอำนาจในการบริหารงาน เพราะถ้าขายหุ้นเพิ่ม
ทุนให้ SCCC จะถือหุ้นใหญ่ทันที 75% และตระกูลเลี่ยวไพรัตน์จะเหลือหุ้นเพียง 10%
เท่านั้น" นายลือศักดิ์ กล่าว
นายพิชัย นิลทองคำ อธิบดีผู้พิพากษาศาลล้มละลายกลาง กล่าวว่าจากประสบการณ์ประชุม
ไกล่เกลี่ยคดีแพ่ง พบว่าต้องจัดประชุม 6-7 ครั้ง จึงจะได้ข้อยุติ ซึ่งคดี TPIPL
มีปัญหายืดเยื้อมานานกว่า 3 ปีแล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดประชุมไกล่เกลี่ยแค่
1-2 ครั้งแล้วยุติได้ แต่สุดท้ายถ้าไม่ได้ข้อสรุป ทางศาลฯก็มีทางออกเพื่อคดียุติได้
"จากประสบการณ์การไกล่เกลี่ยพบว่าคนที่คุยยากที่สุด คือฝรั่ง เนื่องจากเขามีวิธีคิดแบบหนึ่ง
และไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทยที่ยืดหยุ่นกันได้"
การนัดครั้งนี้ ศาลได้ให้ฝ่ายเจ้าหนี้และ ลูกหนี้พูดปัญหา ข้อโต้แย้งต่างๆ โดยแยกคุยระหว่างกลุ่ม
เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ซึ่งไม่จบในครั้งนี้ ดังนั้นศาลนัดไกล่เกลี่ยอีกครั้งในวันที่
13 ส.ค.นี้ โดยให้ตัวแทนเจ้าหนี้ TPIPLที่จะปล่อยสินเชื่อมาชี้แจงให้เจ้าหนี้รายอื่นรับรู้
ซึ่งการลดหนี้นั้น คงต้องดูเงื่อนไขของSCCC มาเป็นพื้นฐานในการพิจารณาด้วย หากพบว่าเงินกู้ที่แบงก์จะปล่อยไม่เพียงพอ
ทาง บริษัทฯก็มีทางเลือกเพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นการขายหุ้นเพิ่มทุนบางส่วน เป็นต้น
วานนี้ ราคาหุ้นTPIPL ได้แรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เปิดตลาดที่ 30.75
บาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ 34.25 บาท ก่อนมี แรงเทขายทำกำไรออกจนราคาหุ้นอ่อนตัวลงมาปิดตลาดที่
31.75 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท เปลี่ยนแปลง 3.25% มูลค่าการซื้อขาย 1,305.25 ล้านบาท