|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
สหเอเชียแฟซิฟิกปิดฉากตลาดเมคอัพ หลังบริษัทแม่ชิเซโด้ที่ญี่นเปิดเกมรุกตลาดกลุ่มแมสทีจในไทยเต็มรูปแบบ "ชิเซโด้" พร้อมเปิดแผนลุยแมสทีจประเดิม แบรนด์ซีเอ และนำเข้าใหม่แบรนด์ มาจอลิกามาจอร์กา มั่นใจปีหน้าเติบโต 2 หลัก
นายทัตสึโอะ ซึโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้นำผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของกลุ่มชิเซโด้ 5 แบรนด์ในไทยที่เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท สหเอเซียแปซิฟิค จำกัด กลับมาทำตลาดเองทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย ซีเอ อูโน่ เพียวแอนด์มาย ไวท์เทียร์ และทิส แต่จะเริ่มทำตลาดแบรนด์ "ซีเอ" ก่อนเมื่อเดือนกรกฎาคมนี้ และโอนถ่ายพนักงานมารวม 93 คน แต่ยังคงผลิตจากโรงงานเดิม
ทั้งนี้สหเอเซียฯเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มสหพัฒและชิเซโด้ ดำเนินการตลาดซีเอในไทยมาตั้งแต่ปี 2540 แต้นิ่งจากนโยบายบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นต้องการรุกตลาดแมสทีจ (ตลาดระหว่างกลุ่มแมสกับเพรสทีจซึ่งราคาสูงกว่าระดับแมสแต่ต่ำกว่าระดับเพรสทีจ) ในไทยมากขึ้น จึงดำเนินการเอง และมีเป้าหมายที่จะส่งแบรนด์ของกลุ่มชิเซโด้ไปต่างประเทศมากขึ้น เพื่อผลักดันให้เป็นแจแปนนิสเมกกะแบรนด์ ส่วนอีกบริษัทที่ร่วมทุนกันคือ บริษัท ชิเซโด้ โปรเฟสชันนอล จำกัด ทำธุรกิจสปาแบรนด์ "คิ" ยังดำเนินธุรกิจเหมือนเดิม
ปัจจุบันกลุ่มชิเซโด้ในไทยจับตลาดเครื่องสำอางค์ 3 กลุ่มหลักคือ 1.แบรนด์ชิเซโด้ ขายในไทยนานกว่า 46ปี เป็นรายได้หลักคือ 75% มีแผนที่จะปรับโฉมเคาน์เตอร์รูปแบบใหม่ และมีสินค้าเพิ่มมากขึ้น 2.กลุ่มที่ไม่ใช่แบรนด์ชิเซโด้ มีจำนวน 8 แบรนด์ เช่น อิปซ่า เอทูเซ่ เป็นต้น สัดส่วนรายได้ 25% และมีแผนจะทำตลาดระบบมัลติแบรนด์ด้วย และ 3. กลุ่มแมสทีจ ที่เพิ่งเริ่มต้นในไทย โดยเริ่มที่ 2แบรนด์หลักก่อนคือ "ซีเอ" และ "มาจอลิกา มาจอร์กา" ที่เพิ่งนำเข้ามาทำตลาดในไทย ซึ่งบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่นยังมีเครื่องสำอางกลุ่มแมสทีจอีกหลายแบรนด์ จะทยอยนำเข้ามาเพิ่มในไทย โดยที่ไต้หวันทำตลาดแมสทีจมากสุดถึง 6 แบรนด์
ทั้งนี้การมีสินค้าครบทุกกลุ่มจะทำให้ปีหน้าบริษัทชิเซโด้ในไทยมีรายได้เติบโตมากกว่า 11% และยังไม่มีแผนนำแบรนด์ใหม่เข้ามาทำตลาดในปีหน้า ขณะที่ครึ่งปีแรกปีนี้เติบโต 6% และตั้งเป้ากลุ่มเพรสทีจจะเติบโต 6% ปีหน้า โดยที่ปีนี้รายได้รวมบริษัทฯคาดว่าจะมีประมาณใกล้เคียง 1,500 ล้านบาท
"เมืองไทยยังมีศักยภาพด้านตลาดเครื่องสำอางอีกมาก จากเดิมที่จำกัดเฉพาะผู้หญิงทำงาน แต่ว่าตอนนี้ตลาดเครื่องสำอางขยายไปสู่ กลุ่มนักเรียน นักศึกษามากขึ้น และถึงแม้ว่าปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่นิ่งในเวลานี้ แต่บริษัทฯก็มองว่าเป็นปัญหาระยะสั้น ขณะที่โอกาสการทำตลาดระยะยาวยังเปิดกว้างอีกมาก และยังลงทุนต่อเนื่องล่าสุดทุ่มงบ 75 ล้านบาท สร้างแวร์เฮาส์ใหม่พื้นที่ 3 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราดกิโลเมตรที่ 19 และเตรียมจะเปิดใช้ภายในสิ้นปีนี้ " นาย ทัตสึโอะกล่าว
สาเหตุที่ชิเซโด้รุกตลาดแมสทีจเพราะว่า โดยตลาดแมสทีจในไทยนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าปี 2550 ตลาดเครื่องสำอางกลุ่มแมสทีจปี 2550 มีมากกว่า 10,000 ล้านบาท และคาดว่าเพิ่มเป็น 15,000 ล้านบาทในปี 2553 ขณะที่ตลาดแมสทีจในเอเซีย (มี 6 ประเทศคือ จีน ไต้หวัน ฮ่องกง ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ) ในปี 2549 มีมูลค่าเท่ากับ 78,000 ล้านบาท และคาดว่าปี 2556 จะเพิ่มเป็น 166,000 ล้านบาท
สำหรับแผนตลาดของกลุ่มแมสทีจนั้น จะใช้งบตลาดรวม 45% จากยอดขายกลุ่มนี้แบ่งเป็น อะโบฟเดอะไลน์ 70% และบีโลว์เดอะไลน์ 30% ทำตลาดปีหน้า โดยที่แบรนด์ซีเอนั้น จับกลุ่มวัยรุ่นถึงวัยเริ่มทำงาน มีกำลังซื้อ ราคาเฉลี่ย 300-400บาท เน้นขายในร้านวัตสันห้างสรรพสินค้าทั่วไป สินค้าครอบคลุมทั้งรักษาสิว กลุ่มแอนตี้เอจิ้ง กลุ่มไวท์เทนนิ่ง ตัวเด่นคือ สกินแคร์
ส่วนแบรนด์ มาจอลิกา มาจอร์กา เพิ่มเริ่มทำตลาดในไทย พร้อมกับอ่องกง มาเลเซียสิงคโปร์ ไต้หวัน เริ่มวางตลาดวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา เน้นกลุ่มทีนเอจ อายุ 14 ปี - วัยเริ่มทำงาน สินค้าครบไลน์สำหรับดวงตา ริมฝีปาก ใบหน้า และเล็บตัวเด่นคือ มาสคาร่า อายไลนเนอร์ ระดับราคาเฉลี่ย 100-700บาท จำหน่ายเฉพาะที่ร้านวัตสันเป็นเอ็กซ์คลูซ์แบรนด์ ปีนี้ เริ่มที่ 20สาขา และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 60สาขา
|
|
|
|
|