Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน14 ตุลาคม 2551
หุ้นทั่วโลกเด้งแรงหลังสหรัฐฯ-ยุโรปร่วมแก้วิกฤตการเงิน             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยเด้งแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก หลังปะเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจประกาศความร่วมมือแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลได้เปราะหนึ่ง บวกกับก่อนหน้าราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงแรงแล้ว โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดที่ 476.33 จุด เพิ่มขึ้น 24 จุด คิดเป็น 5.39% มูลค่ารวมเกือบ 1.7 หมื่นล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นยังผันผวน แนะนักลงทุนจับตาผลมาตรการแก้วิกฤตสถาบันการเงินโลกในระยะยาว

บรรยากาศการซื้อขายหุ้นไทย วานนี้ (13 ต.ค.) มีแรงซื้อของนักลงทุนเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ หลังจากนักลงทุนได้คลายความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่ลุกลามอยู่ทั่วโลกได้ในระดับหนึ่ง สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ในช่วงบ่ายยังคงมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวบวกไปกว่า 30 จุด หรือที่ระดับสูงสุด 483.45 จุด และจุดต่ำสุดที่ 451.04 จุด

หลังจากนั้น นักลงทุนบางส่วนได้เทขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเล็กน้อยก่อนจะปิดที่ 476.33 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 24.37 จุด หรือคิดเป็น 5.39% มูลค่าการซื้อขาย 16,854.75 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศจำนวน 470.63 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,379.71 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 909.08 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 182 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท หรือคิดเป็น 7.06% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,203.12 ล้านบาท บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 104 บาท เพิ่มขึ้น 7.50 บาท หรือ 7.77% มูลค่า 1,900.77 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 53.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 7.00% มูลค่า 1,265.54 ล้านบาท

นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ต่างปรับเพิ่มขึ้น จากการร่วมมือในการแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินของประเทศอำนาจ เพื่อกระตุ้นสภาพคล่องในระบบการเงิน ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ประสบวิกฤตการเงิน ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อมั่นจะสามารถคลี่คลายไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น

ประกอบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงแรง ทำให้วันนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ทยอยเข้าซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายลง หลังจากไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น จึงกลับเข้ามาลงทุนและผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยนั้น คาดว่าวันนี้ (14 ต.ค.) จะสามารถทรงตัวอยู่ในแดนบวกได้ จากนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มเชื่อมั่นจากธนาคารกลางหลายประเทศเข้ามาเสริมสภาพคล่องในสถาบันการเงิน และออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกี่ยวกับสภาพคล่องทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายดีขึ้น

ขณะที่ ปัจจัยในประเทศจะต้องติดตามสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมถึงมาตรการของรัฐบาลว่าจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้มากน้อยเพียงใด โดยกลยุทธ์การลงทุนให้ทยอยซื้อหากราคาปรับตัวลดลง

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดต่างประเทศ จากมาตราการของธนาคารกลางในต่างประเทศ ในการอัดฉีดเงินเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นจากสหรัฐฯ บวกกับดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงมากแล้ว คือภายใน 2 เดือนทีผ่านมาปรับตัวลดลงแรงถึง 260 จุด

“วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ จากปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐฯ ที่ยังไม่จบ แม้ทุกฝ่ายจะพยายามเร่งหาแนวทางแก้ไข ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน โดยมีแนวรับที่ 460 จุด และแนวต้านที่ 480-485 จุด” นางสาวจิตรา กล่าว

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธการลงทุน บล. เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ยังไม่จบ ดังนั้นจึงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของมาตรการการแก้ปัญหา และตลาดหุ้นตลาดต่างประเทศ รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วย โดยให้แนวรับที่ 465 จุด และแนวต้านที่ 490-500 จุด

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ณ วานนี้ ปรับตัวอยู่ในแดนบวก ตามทิศทางตลาดในต่างประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการของธนาคารกลางต่างประเทศ ในการอัดฉีดเงินเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นจากสหรัฐฯ

“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะยังคงปรับตัวเพิ่ม จากราคาหุ้นในปัจจุบันปรับลงมาก สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมถึงให้จับตาทิศทางตลาดในต่างประเทศ โดยนักลงทุนระยะสั้นให้เทขายหากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 465 จุด และแนวต้านที่ 483 จุด”

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ฟื้นตัวแรงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงอย่างหนักกว่า 150 จุด โดยมีปัจจัยบวกจากทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขานรับมาตรการความร่วมมือในการเร่งแก้ไขวิกฤตภาคการเงินที่กำลังลุกลามอยู่ในปัจจุบัน และยังไม่มีปัจจัยลบอื่นเข้ามากระทบต่อตลาดหุ้น รวมถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงไปมากแล้วจึงจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยฐานดี

“แนวโน้มตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง รับข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวาระพิเศษได้เสนอมาตรการ 6 ชุด เพื่อมารับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะมุ่งเน้นไปยังการมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ เร่งเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์) รวมถึงกระตุ้นการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นผลดีกับจิตวิทยาการลงทุนและผ่อนคลายความวิตกกังวลในภาวะวิกฤตเช่นนี้ได้ แต่ยังคงต้องติดตามผลของมาตรการว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด”   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us