|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหุ้นไทยเด้งแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก หลังปะเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจประกาศความร่วมมือแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น พร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน ส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลได้เปราะหนึ่ง บวกกับก่อนหน้าราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงแรงแล้ว โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ปิดที่ 476.33 จุด เพิ่มขึ้น 24 จุด คิดเป็น 5.39% มูลค่ารวมเกือบ 1.7 หมื่นล้านบาท ด้านนักวิเคราะห์ ประเมินแนวโน้มตลาดหุ้นยังผันผวน แนะนักลงทุนจับตาผลมาตรการแก้วิกฤตสถาบันการเงินโลกในระยะยาว
บรรยากาศการซื้อขายหุ้นไทย วานนี้ (13 ต.ค.) มีแรงซื้อของนักลงทุนเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ หลังจากนักลงทุนได้คลายความกังวลปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่ลุกลามอยู่ทั่วโลกได้ในระดับหนึ่ง สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดการซื้อขายภาคเช้า ตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่ในช่วงบ่ายยังคงมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวบวกไปกว่า 30 จุด หรือที่ระดับสูงสุด 483.45 จุด และจุดต่ำสุดที่ 451.04 จุด
หลังจากนั้น นักลงทุนบางส่วนได้เทขายหุ้นออกมาเพื่อทำกำไรจากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเล็กน้อยก่อนจะปิดที่ 476.33 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 24.37 จุด หรือคิดเป็น 5.39% มูลค่าการซื้อขาย 16,854.75 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศจำนวน 470.63 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,379.71 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 909.08 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ประกอบด้วย บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 182 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท หรือคิดเป็น 7.06% มูลค่าการซื้อขายรวม 2,203.12 ล้านบาท บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 104 บาท เพิ่มขึ้น 7.50 บาท หรือ 7.77% มูลค่า 1,900.77 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 53.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.50 บาท หรือ 7.00% มูลค่า 1,265.54 ล้านบาท
นางสาววิริยา ลาภพรหมรัตน ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ต่างปรับเพิ่มขึ้น จากการร่วมมือในการแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินของประเทศอำนาจ เพื่อกระตุ้นสภาพคล่องในระบบการเงิน ตลอดจนได้รับความร่วมมือจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เพื่อช่วยเหลือประเทศที่ประสบวิกฤตการเงิน ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อมั่นจะสามารถคลี่คลายไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น
ประกอบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงแรง ทำให้วันนี้นักลงทุนส่วนใหญ่ทยอยเข้าซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไร รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มคลี่คลายลง หลังจากไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น จึงกลับเข้ามาลงทุนและผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยนั้น คาดว่าวันนี้ (14 ต.ค.) จะสามารถทรงตัวอยู่ในแดนบวกได้ จากนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มเชื่อมั่นจากธนาคารกลางหลายประเทศเข้ามาเสริมสภาพคล่องในสถาบันการเงิน และออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือเกี่ยวกับสภาพคล่องทำให้สถานการณ์เริ่มคลี่คลายดีขึ้น
ขณะที่ ปัจจัยในประเทศจะต้องติดตามสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมถึงมาตรการของรัฐบาลว่าจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้มากน้อยเพียงใด โดยกลยุทธ์การลงทุนให้ทยอยซื้อหากราคาปรับตัวลดลง
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางตลาดต่างประเทศ จากมาตราการของธนาคารกลางในต่างประเทศ ในการอัดฉีดเงินเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นจากสหรัฐฯ บวกกับดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงมากแล้ว คือภายใน 2 เดือนทีผ่านมาปรับตัวลดลงแรงถึง 260 จุด
“วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ จากปัญหาวิกฤตการเงินของสหรัฐฯ ที่ยังไม่จบ แม้ทุกฝ่ายจะพยายามเร่งหาแนวทางแก้ไข ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอลงทุนเพื่อรอดูความชัดเจน โดยมีแนวรับที่ 460 จุด และแนวต้านที่ 480-485 จุด” นางสาวจิตรา กล่าว
นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธการลงทุน บล. เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ยังไม่จบ ดังนั้นจึงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของมาตรการการแก้ปัญหา และตลาดหุ้นตลาดต่างประเทศ รวมถึงทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกด้วย โดยให้แนวรับที่ 465 จุด และแนวต้านที่ 490-500 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ณ วานนี้ ปรับตัวอยู่ในแดนบวก ตามทิศทางตลาดในต่างประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการของธนาคารกลางต่างประเทศ ในการอัดฉีดเงินเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นจากสหรัฐฯ
“แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าจะยังคงปรับตัวเพิ่ม จากราคาหุ้นในปัจจุบันปรับลงมาก สวนทางกับปัจจัยพื้นฐานที่ดี รวมถึงให้จับตาทิศทางตลาดในต่างประเทศ โดยนักลงทุนระยะสั้นให้เทขายหากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 465 จุด และแนวต้านที่ 483 จุด”
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ฟื้นตัวแรงจากสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับลดลงอย่างหนักกว่า 150 จุด โดยมีปัจจัยบวกจากทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นขานรับมาตรการความร่วมมือในการเร่งแก้ไขวิกฤตภาคการเงินที่กำลังลุกลามอยู่ในปัจจุบัน และยังไม่มีปัจจัยลบอื่นเข้ามากระทบต่อตลาดหุ้น รวมถึงราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงไปมากแล้วจึงจูงใจให้นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยฐานดี
“แนวโน้มตลาดหุ้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง รับข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวาระพิเศษได้เสนอมาตรการ 6 ชุด เพื่อมารับมือวิกฤตเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะมุ่งเน้นไปยังการมาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคธุรกิจ เร่งเดินหน้าโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจ็กต์) รวมถึงกระตุ้นการส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นผลดีกับจิตวิทยาการลงทุนและผ่อนคลายความวิตกกังวลในภาวะวิกฤตเช่นนี้ได้ แต่ยังคงต้องติดตามผลของมาตรการว่าจะมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด”
|
|
|
|
|