บ้านปูเตรียมส่งชนินท์ ว่องกุศลกิจ ผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นบอร์ดสมใจ ในบมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง
(RATCH)หลังตัดสินใจ ขายโรงไฟฟ้าไอพีพี "ไตรเอนเนอจี้" รับเงินสดเหนาะๆ
2.1 พันล้านบาท พร้อมเก้าอี้บอร์ดฯ 1 ที่นั่ง
นายบุญชู ดิเรกสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด
(มหาชน) (RATCH) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ วานนี้ (28 ก.ค.) มีมติอนุมัติลงทุนบริษัท
ไตรเอนเนอจี้ จำกัด โดยซื้อบริษัท บ้านปู แก๊ส เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นไตรเอนเนอจี้
12,839,250 หุ้น 37.5% รวมทั้งเงินกู้ยืมบริษัท บ้านปูแก๊ส เพาเวอร์ ในรูปตั๋วสัญญาใช้เงิน
เพื่อใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้กลุ่มบ้านปู รวมมูลค่าซื้อ 2.1 พันล้านบาท
ดีลนี้มีการเจรจาต่อเนื่องมานาน หลังจากกลุ่มบ้านปูถือหุ้น RATCH เกือบ 15%
โดยนายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ผู้ถือหุ้นใหญ่ บ้านปู ต้องการถือหุ้น RATCH เพิ่มขึ้น
โดยเสนอที่จะขายโรงไฟฟ้าไตรเอ็นเนอจี้ โดยใช้วิธีแลกหุ้น (swap)กับ RATCH แต่ไม่สามารถ
ทำได้ เนื่องจากขัดมติคณะรัฐมนตรี ที่กำหนดให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ถือหุ้นใหญ่ใน RATCH ไม่น้อยกว่า 45% ของ ทุนชำระแล้ว 1.45 หมื่นล้านบาท ทำให้การเจรจาโดย
วิธีแลกหุ้นต้องพับไป
RATCH จึงเสนอทางออก โดยชำระเป็นเงินสด 2.1 พันล้านบาท และเก้าอี้กรรมการบริษัทอีก
1 ที่แทน ซึ่งบ้านปูก็เห็นชอบด้วย เนื่องจากที่ผ่านมา RATCH ไม่เปิดโอกาสให้บ้านปูเป็นกรรมการบริษัท
แม้ว่าจะถือหุ้น RATCH มากถึง 15% ก็ตาม
แถมเงินสดให้ 2.1 พันล้านบาท-บอร์ด 1 ที่
แหล่งข่าวคาดว่า บ้านปูจะเสนอนายชนินท์ เป็น 1 ในบอร์ดบริษัท พร้อมรับเงินสด
2.1 พันล้าน บาทดังกล่าว ในการที่บริษัทซื้อโรงไฟฟ้าไตรเอ็นเนอจี้ โดยผลิตไฟฟ้าราชบุรีฯ
จะชำระเป็นเงินสดวันที่โอน หลังจากได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท
ซึ่งจะกำหนดภายหลัง
แหล่งข่าวกล่าวว่า หากการเจรจาประสบความ สำเร็จ RATCH จะลงทุนโรงไฟฟ้าไตรเอนเนอจี้
ทำให้ RATCH สามารถรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้า ตามสัดส่วนถือหุ้นเพิ่มขึ้น 37.5%
ไตรมาส 4 ทำให้กำไรสุทธิ RATCH ปีนี้ เพิ่มขึ้นจากเดิม ที่คาดไว้ 4,728.94 ล้านบาท
สำหรับการถือหุ้นโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีของบ้านปู ขณะนี้ข้อมูลยังไม่พร้อมตีราคามูลค่าหุ้น
คงต้องรอให้บ้านปูดำเนินการเรื่องจัดหาแหล่งเงินกู้ในโครงการก่อน
ส่วนแหล่งเงินทุนที่จะใช้ซื้อโรงไฟฟ้าดังกล่าว จะนำเงินทุนหมุนเวียนที่มีอยู่
2,300 ล้านบาท รวมทั้งบริษัทฯ ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้น ออกหุ้นกู้ไม่เกิน 5,000
ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนโรงไฟฟ้าขนาด 1,000 เมกะวัตต์ในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า
นายบุญชูกล่าวต่อไปว่า การซื้อบริษัท บ้านปู แก๊สเพาเวอร์ จำกัด จะมีผลสมบูรณ์เมื่อกลุ่มบ้านปู
ประสบความสำเร็จปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังนี้
1. ผู้ถือหุ้นหลักไตรเอนเนอจี้ยินยอมในการที่บริษัทฯ จะซื้อหุ้นบริษัท บ้านปู
แก๊ส เพาเวอร์ จากกลุ่มบ้านปู รวมทั้งการตกลงร่วมกันด้านขยายการลงทุนกิจการผลิตไฟฟ้าในจังหวัดราชบุรี
และ ประเด็นอื่นๆ ตามที่กำหนดในข้อกำหนดสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นไตรเอนเนอจี้
2.บริษัทฯ ได้รับคำยืนยันเบื้องต้นจากกลุ่มเจ้าหนี้สถาบันการเงินไตรเอนเนอจี้
ว่าจะยินยอมที่บริษัทฯ จะซื้อหุ้นบริษัท บ้านปู แก๊ส เพาเวอร์
บริษัทฯ คาดว่าจะรับทราบผลการยืนยันเงื่อนไขดังกล่าว ภายใน 29 ส.ค.หากผลการยืนยัน
ไม่บรรลุผลสำเร็จบริษัทฯ จะเสนอคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อพิจารณา
หากเทกฯไตรเอ็นเนอจี้เพิ่มบอร์ดเป็น 13 คน
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้เสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทฯ
เพื่อพิจารณาอนุมัติเพิ่มกรรมการอีก 1 คน และแก้ไข ข้อบังคับบริษัทฯ ข้อ13 จากจำนวนกรรมการที่ระบุว่า
"ไม่เกิน 11 คน" เป็น "ไม่เกิน 13 คน" ภายใต้เงื่อนไขว่าการเจรจาซื้อไตรเอ็นเนอจี้ประสบความสำเร็จ
ที่ประชุมฯ มอบหมายกรรมการผู้จัดการ บริษัทฯ มีอำนาจกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น
และเรียกประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เพื่อนำรายการการ ซื้อบริษัท บ้านปู แก๊ส เพาเวอร์
ดังกล่าว เสนอที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัทฯ เพื่ออนุมัติ โดยต้องได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า
3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นซึ่งมาประชุม และมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
ปัจจุบัน กลุ่มบริษัท บ้านปู ถือหุ้น RATCH 14.99% ประกอบด้วยบริษัท บ้านปู จำกัด
(มหาชน) ถือหุ้น 0.26% และบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ ถือหุ้น 7.38%
และบริษัท บ้านปู เพาเวอร์ อินเตอร์แนชั่นแนล ถือหุ้น 7.35% ซึ่งถือเป็นผู้ถือหุ้น
ใหญ่ของบริษัทฯ
ทั้งนี้ การเข้าไปซื้อบริษัท บ้านปู แก๊ส เพาเวอร์ จำกัด ดังกล่าวเป็นเพียงการตกลงในเบื้องต้นกับกลุ่มบ้านปูเท่านั้น
เนื่องจากการเข้าทำรายการดังกล่าว นอกจากจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสำคัญๆ ต่างๆตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว
ยังขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและรายละเอียดอื่นๆ ที่บริษัทฯ จะต้องตกลงกับกลุ่มบ้านปูในสัญญาซื้อขายหุ้นต่อไป
บริษัท ไตรเอนเนอจี้ ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าไอพีพีด้วยก๊าซธรรมชาติขนาด 725 เมกะวัตต์
ที่จังหวัดราชบุรี และ โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าไอพีพีที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง
ขนาดกำลังการ ผลิต 1,434 เมกะวัตต์ ซึ่งยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง
6 เดือนกำไร 1.98 พันล้านบาท
นายบุญชู กล่าวถึงผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ
รวม 2,564 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,977 ล้านบาท
เป็นจำนวน 587 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.77 บาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น
1.36 บาท
ส่วนงวดไตรมาสที่ 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2546 บริษัทฯมีกำไรสุทธิ 973 ล้านบาท
ลดลงเมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,258 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ
23% คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.67 บาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.87
บาท
เนื่องจากมีการหยุดเดินเครื่องตามแผนการบำรุงรักษา โดยโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม
ชุดที่ 3 หยุดเดินเครื่องเพื่อทำ Warranty Inspection ระหว่างวันที่ 6-31 พฤษภาคมที่ผ่านมา
และโรงไฟฟ้า พลังความร้อน เครื่องที่ 1 หยุดเดินเครื่องเพื่อทำ Minor Inspection
ระหว่างวันที่ 26 พฤษภาคม ถึง 8 กรกฎาคม 2546
ค่าใช้จ่ายในการซ่อมอุปกรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม ชุดที่ 1 ที่มีการหยุดเดินเครื่องเพื่อทำ
Minor Inspection ระหว่างวันที่ 9 มีนาคม ถึงวันที่ 7 เมษายน 2546 ซึ่งได้ประมาณการค่าซ่อมอุปกรณ์เป็นเงินประมาณ
8.7 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำหนดให้ทยอยบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายตามผลงาน ของการซ่อมอุปกรณ์ที่เกิดขึ้นจริงนั้น
ในไตรมาสที่ 2 นี้ได้มีการบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายจำนวน 51 ล้านบาท
ปัจจุบัน RATCH มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 3,645 เมกะวัตต์ต่อปี ซึ่งจะเดินเครื่องเฉลี่ย
80%ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ไฟฟ้า โดยฐานะการเงินของบริษัทนั้น ปัจจุบันมีหนี้สินรวม
4.25 หมื่นล้านบาท และหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 2 เท่า ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ปรับโครงสร้างทางการเงินกับสถาบันการเงิน
โดยเจ้าหนี้ยอมลดดอกเบี้ย ทำให้บริษัทลดดอกเบี้ยจ่ายในช่วง 6 ปีเป็นเงิน 2,734
ล้านบาท
ความเคลื่อนไหวของ RATCH วานนี้ (28 ก.ค.) เปิดตลาดที่ 28.25 บาท มีแรงซื้อดันขึ้นไปแตะสูงสุดที่
28.75 บาท ก่อนจะมีแรงเทขายออกมาปิดตลาดที่ 28.50 บาท ลดลง 25 สตางค์ เปลี่ยนแปลง
0.86% มูลค่าการซื้อขาย 75.73 ล้านบาท
หุ้น BANPU เปิดตลาดที่ 46.75 บาท ปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 47.50 บาท ก่อนจะปรับตัวลดลงมาปิดตลาดที่
46.75 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 35.60 ล้านบาท