ตลอด 20 ปีของนิตยสารผู้จัดการ ได้บันทึกประวัติศาสตร์ชีวิตธุรกิจชาวจีนโพ้นทะเลอย่าง
"อึ้ง จือ เม้ง" หรือ "มงคล กาญจนพาสน์" และลูกๆ ไว้ ตลอดในแต่ละความเคลื่อนไหวที่สำคัญของเขา
นับจากครั้งแรกในนิตยสารผู้จัดการ ฉบับที่ 2, 9 และ ฉบับที่ 21 เดือนพฤษภาคม
2528 ในเรื่องปก "ศึกชิงสำนักน่ำไฮ้" ซึ่งเสนอเรื่องราวความขัดแย้งในธนาคารนครหลวงไทยในยุคของการเข้าไปบริหารงานของกลุ่มมหาดำรงค์กุลกับบุญชู โรจนเสถียร ซึ่งสามารถหาอ่านรายละเอียดในพ็อกเก็ตบุ๊คโครงการ
Manager Classic เรื่อง "Big Story" ได้
หากย้อนอดีตไปเมื่อครั้งปลายปี 2525 มงคล กาญจนพาสน์ ขายหุ้นธนาคารนครหลวงไทยให้กับกลุ่มมหาดำรงค์กุล
นิตยสาร "ผู้จัดการ" ฉบับเก่าได้เขียนถึงที่มาที่ไปไว้ว่า
ปลายปี 2525 เป็นปีที่วงจรธุรกิจการค้าเริ่มจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ ไม่เพียงเฉพาะประเทศไทยเท่านั้น
ฮ่องกงในภาวการณ์ปี 2525 คือ ยุคพิฆาต มังกรอย่างแท้จริง แคร์เรียนของ จอร์จ
ตัน เริ่มซวนเซ ในปี 2525 หลังจากที่ได้แหกตาชาวบ้านและชาวธนาคารทั้งหัวดำและตาขาวมานมนานแล้ว
และก็ที่ฮ่องกงนั้นเองแหละ คนที่ชื่อ "อึ้ง จือ เม้ง" กำลังรู้สึกอึดอัดกับภาวการณ์ที่รัดตัวเอามากๆ
ในดินแดนเก้ามังกรที่เคยทำประโยชน์ให้กับเขาได้ดี
อึ้ง จือ เม้ง ก็คือประเภทเสื่อผืนหมอนใบที่มาเมืองไทย แล้วค้าขายเป็นเอเย่นต์นาฬิกาญี่ปุ่นจนรวย
และเมื่อรวยขึ้นมา เขาก็ขยายฐานเข้าไปลงทุนในฮ่องกงอย่างหนัก
โรงงานผลิตอุปกรณ์นาฬิกาขื่อ "สเตลักซ์" ซึ่งเป็นอาคารสูงเด่นสง่า ที่มองเห็นได้ทันทีเมื่อเครื่องบินร่อนลงสนามบินไคตั้ก
(บริษัทสเตลักซ์จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงในปี 2514 มีบริษัทในเครือ 40 แห่ง)
นอกจากนั้นแล้ว อึ้ง จือ เม้ง ยังทำธุรกิจด้านการพัฒนาที่ดินทั้งฮ่องกงและเมืองไทย
ในฮ่องกง เขาใช้ชื่อ "ไหมฮอน" (วาชังกรุ๊ปซึ่งมีบริษัทในเครือราว 15 บริษัท)
ในการซื้อขายที่ดินและปลูกแฟลตขาย ส่วนในเมืองไทยคือ บริษัท บางกอกแลนด์
(ซึ่งตั้งใน ปี 2516 ถือเป็นกลุ่มแรกที่นำกลยุทธ์ของฮ่องกงมาบุกเบิกพัฒนาธุรกิจนี้ในไทย
หลังจากเคยร่วมหุ้นกับชวน รัตนรักษ์ ตั้งบริษัทสยามประชาคารในปี 2512 เพื่อจะทำหมู่บ้าน
จัดสรรแห่งแรก "หมู่บ้านเสนานิเวศน์" แต่มีอันต้องแยกกันเดิน)
อึ้ง จือ เม้ง มีวิธีการทำธุรกิจที่ไม่ได้แตกต่างไปกว่าคนจีนที่มีเสื่อผืนหมอนใบเท่าใดนัก
นั่นคือ การเข้าไปเกาะผู้มีอำนาจทางการเมือง ซึ่งแน่นอนที่สุด ขณะนั้นคือ
"ถนอมและประภาส"
...แต่แล้วธุรกิจของมงคลในเมืองไทย หลัง 14 ตุลาคม 2516 คงเหลือเพียงการเป็น
ผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารนครหลวงไทย, การจัดสรรที่ดินที่อยู่อาศัยของบางกอกแลนด์ในโครงการเมืองทองนิเวศน์
และเมโทรดีพาร์ท เม้นท์สโตร์ที่เมื่อปี 2527 เบิกเงินเกินบัญชีธนาคารนครหลวงไทยไป
118 ล้านบาท
...ปี 2521 เป็นปีแรกของต้นทศวรรษ ที่วงจรเศรษฐกิจเริ่มแปรปรวนผันผวนอย่างอุบาทว์
ดอกเบี้ยเคยอยู่เลขสิบต้นๆ เริ่มกระโดดขึ้นมาจนเป็นยี่สิบต้นๆ ...อัตราดอกเบี้ยบ้าเลือด
นอกจากจะกระทบกระเทือนอาณาจักรของเขาในฮ่องกงแล้ว กิจการทั้งหลายแหล่ในเมืองไทยก็โดนไปด้วยไม่มีข้อยกเว้น
จนกระทั่งปลายปี 2532 ความเฟื่องฟูของธุรกิจเรียลเอสเตทในไทย ได้ดึงดูดให้ตระกูลกาญจนพาสน์กลับมาอย่าง
ยักษ์ใหญ่ในโครงการ "เมืองทองธานี" บนพื้นที่กว่า 2 พันไร่ริมถนนแจ้งวัฒนะ
โดยมีอนันต์ กาญจนพาสน์ ลูกชายคนโตเป็นเจ้าของโครงการ ขณะที่ "ธนาซิตี้"
มี คีรี กาญจนพาสน์ ลูกชายอีกคนบริหารในนามบริษัทธนายง ที่พัฒนาที่ดินกว่า
1,500 ไร่ริมถนนบางนา-ตราด กม.14 และบริหารโครงการรถไฟฟ้า BTS ที่ยังประสบปัญหาขาดทุนอยู่
อย่างไรก็ตาม แม้วิกฤติเศรษฐกิจไทย ปี 2540 จะตรงกับเหตุการณ์อังกฤษคืน
เกาะฮ่องกง ที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจของตระกูลกาญจนพาสน์อย่างหนัก แต่วันนี้
มงคล กาญจนพาสน์ มังกรโพ้นทะเลคนนี้ได้ นอนตายตาหลับไปแล้วด้วยโรคชรา ปล่อยให้ภารกิจในประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของตระกูลเป็นเรื่องของลูกๆ
หลานๆ ต่อไป