Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน9 ตุลาคม 2551
หุ้นไทยวิกฤตมูลค่าหลุด4ล.ล้าน คาดต่างชาติทิ้งต่อกดดัชนีรูดยาวถึง60%             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยเข้าขั้นวิกฤตหนัก หลังรัฐบาลทรราชใช้กำลังทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ บวกกับวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ลุกลาม กดดัชนีหุ้นหลุด 500 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 492.34 จุด ร่วงกว่า 36 จุด มูลค่าลดวูบเหลือแค่ 3.91 ล้านล้านบาท สูญไปกว่า 1 ล้านล้านภายในเวลาไม่ถึงเดือน หรือ 40% จากต้นปีที่ผ่านมา โดย BANPU-PTT กอดคอร่วงต่ำกว่า 200 บาทแล้ว ด้าน “ภัทรียา” แจงหุ้นดิ่งตามตลาดภูมิภาค พร้อมโปรยยาหอมกองทุนดูไบสนลงทุนในไทย แต่ต้องรอวิกฤตสหรัฐฯ คลี่คลาย ขณะที่เลขาฯ สมาคมนักวิเคราะห์ เผยต่างชาติจะยังเทขายหุ้นต่อเนื่อง ฉุดดัชนีรูดยาวได้ถึง 60% หลังจากรูปแล้ว 45% ส่วนโบรกเกอร์ ยังหาแนวรับ-แนวต้านไม่เจอ

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ต.ค.) นักลงทุนยังคงทิ้งหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างหนัก จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก บวกกับตลาดหุ้นต่างประเทศทั่วโลกต่างปรับตัวลดลง จากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ยังไม่ทีท่าจะยุติ และยังคงขยายวงกว้างกระทบระบบการเงินทั่วโลก

โดยดัชนีตลาดหุ้นไทย ได้ปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดทำการซื้อขาย โดยมีจุดสูงสุดที่ 517.29 จุด ก่อนที่จะลดลงอย่างรุนแรงหลุดแนวรับสำคัญที่ระดับ 500 จุด และลดลงแตะจุดต่ำสุดที่ 483.91 จุด ลดลงกว่า 44.80 จุด หรือคิดเป็น 8.47% ก่อนจะเด้งกลับขึ้นมาเล็กน้อยปิดการซื้อขายที่ 492.34 จุด ลดลงจากวันก่อน 36.37 จุด คิดเป็น 6.88% มูลค่าการซื้อขายรวม 17,461.33 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิรวม 1,924.42 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 422.12 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 2,346.55 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวมลดต่ำกว่า 4 ล้านล้านบาท เหลือ 3.91 ล้านล้านบาท หลังจากหลุด 5 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 51 ที่ผ่านมา หากเทียบกับต้นปีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 6.53 ล้านบาท พบว่า มาร์เกตแคปลดลงกว่า 2.62 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40.12%

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิด 183 บาท ลดลง 12 บาท หรือ 6.15% มูลค่า1,742.70 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิด 100 บาท ลดลง 6 บาท หรือ 5.66% มูลค่า 1,620.23 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ปิด 198 ล้านบาท ลดลง 24 บาท หรือ 10.81% มูลค่า 1,554.22 ล้านบาท

ดัชนีหุ้นดิ่งตามตลาดภูมิภาค

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ระหว่างการเดินทางไปร่วมประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเกิดจากนักลงทุนไม่แน่ใจปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ และยุโรปจะคลี่คลายเมื่อใด จึงเทขายหุ้นออกมา แต่ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาค

ทั้งนี้ หากประเมินด้านปัจจัยพื้นฐานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) จะพบว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีมาโดยตลอด ดั้งนั้นจึงเป็นปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวได้ ถ้าสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มคลี่คลายและมีทิศทางที่ดีขึ้น

สำหรับการร่วมประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียนครั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ร่วมกับนายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้นำเสนอข้อมูลเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนในประเทศไทย

โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พบกับนักลงทุนสถาบัน 2 ราย เป็นลักษณะ one-no –one คือ ธนาคารอิสลามแห่งดูไบ และดูไบอินเตอร์แนลชั่นเนลแคปปิตอล ซึ่งมีมูลค่าการลงทุน 1.3-1.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนเอเชียจำนวน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะลงทุนแต่ละครั้งประมาณ 200-250 ล้านเหรียญสหรัฐ

นางภัทรียา กล่าวว่า กองทุนทั้ง 2 แห่ง มีความสนใจจะเข้ามาลงทุนระยะยาวในประเทศไทย แต่รอจังหวะที่เหมาะสมยังไม่เข้ามาในขณะนี้ ซึ่งการเข้ามาลงทุนจะเป็นลักษณะการลงทุนโดยตรงในธุรกิจโรงพยาบาล โครงสร้างสาธารณูปโภค และโครงการเมกะโปรเจ็กต์

“หากนักลงทุนดูไบจะเข้ามาลงทุนนั้นจะเป็นในระยะยาวมากกว่า จากขณะนี้ยังไม่มีใครตัดสินใจในการเข้ามาลงทุนจากปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐและยุโรป ที่ส่งผลกระทบ โดยการลงทุนของนักลงทุนดูไบนั้นส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนตรง มากกว่าการลงทุนในหุ้น เพราะ แต่ละครั้งที่ลงทุนนั้นจะใช้เงินจำนวนมาก ทำให้มีบจ.ไม่มากที่จะรองรับการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนดังกล่าวได้”นางภัทรียา กล่าวว่า

สำหรับปัจจัยการเมืองในประเทศไทยที่มีความรุนแรงนั้น ทางนักลงทุนดูไบไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เพราะนักลงทุนดังกล่าวจะให้น้ำหนักกับภาพรวมมากกว่า โดยเฉพาะปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ และยุโรป แต่หากนักลงทุนดังกล่าวจะเข้ามาลงทุนจริง อาจจะมีการสอบถามเรื่องการเมืองภายในประเทศบ้าง

ดัชนีมีสิทธิร่วงลากยาวถึง 60%

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า ขณะนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรรับตัวลดลงแล้วประมาณ 45% และมีโอกาสที่จะลดลงต่อได้ถึงระดับ 50-60% เมื่อเปรียบเทียบกับสถิติในอดีตที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจากต่างประเทศจะกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงในระดับที่ใกล้เคียงกับระดับดังกล่าว โดยเหตุการณ์ Back Monday ดัชนีหุ้นไทยลลดลง 49% สงครามอิรัก ลดลง 52% เป็นต้น

“หุ้นตกครั้งนี้เกิดจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก และนักลงทุนต่างชาติจะยังทยอยขายหุ้นออกไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงว่าพื้นฐานของหุ้นเป็นอย่างไรเพื่อนำเงินกลับไปเพิ่มสภาพคล่องให้กับสถาบันการเงินที่มีปัญหา แต่ปัจจัยที่จะเข้ามาช่วยพยุงราคาหุ้นในขณะนี้คือ การเมืองในประเทศ หากรัฐบาลประกาศยุบสภา จัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือทางออกที่ดีกับทุกฝ่ายจะช่วยตลาดหุ้นได้”

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้แนะนำให้ซื้อหุ้นและถือยาว โดยดูพื้นฐานของบริษัทเป็นหลัก อาทิ หุ้นในกลุ่มผลิตไฟฟ้า ได้แก่ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) ที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทนถึง 6% และบมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) อัตราเงินปันผลตอบแทน 8% ขณะเดียวกัน ควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และหุ้นพลังงานที่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากแรงเทขายของต่างชาติ

หุ้นไทยหาแนวรับ-ต้านไม่เจอ

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ปัจจัยที่เข้ามากดดันดัชนีตลาดหุ้นไทย คือ ความวิตกกังวลต่อปัญหาทางการเมืองในประเทศที่จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก และวิกฤตสถาบันการเงินทีลุกลามบานปลาย รวมถึงการบังคับขาย (force sell) หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากแล้ว

ส่วนแนวน้าตลาดหุ้นวันนี้ คาดว่าจะยังอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนต้องติดตามสถานการณ์ทางการเมืองและแนวทางการแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงิน ให้แนวรับที่ 474-484 จุด และแนวต้านที่ 510 จุด ดังนั้นนักลงทุนระยะสั้นให้รีบขายหุ้นหากราคาปรับตัวขึ้น แต่นักลงทุนระยะยาวที่ต้องการถือเกิน 1 ปี สามารถเข้าไปลงทุนได้

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่ปรัรบตัวลดลงประมาณ 5-6% จากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังต้องเจอวิกฤตการเมืองที่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนเพื่อติดตามทั้ง 2 ปัจจัยอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้ไม่สามารถประเมินแนวรับ-และแนวต้านได้

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ขยายวงกว้างและยังไม่มีท่าทีจะคลี่คลาย รวมถึงการเมืองในประเทศที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น ขณะที่แนวโน้มวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงขาลง โดยนักลงทุนต้องจับตาความคืบหน้าการแก้ไขวิกฤตการเงินสหรัฐฯ และการเมืองในประเทศเป็นหลัก โดยแนวรับที่ 480 จุด และแนวต้าน 510 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us