|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โคทมหวั่นศก.ไทยถดถอย 10 ปี หากรัฐเมินเฉยเหตุรุนแรง หอการค้าระบุเศรษฐกิจไทยปีนี้โตลดลงอีก 1% จี้รัฐรักษาคำพูดที่จะใช้นโยบายสมานฉันท์ ชี้ระยะสั้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยกระทบเต็มเหนี่ยว เหตุเริ่มเข้าฤดูท่องเที่ยวแล้ว ด้านสมาคมเรือไทย เผย ทัวร์ ญี่ปุ่น เกาหลี ยกเลิกการเดินทางแล้ว 500 คน หวั่นจะมีแจ้งมาอีกต่อเนื่อง ครวญปีนี้สูญรายได้แน่ 5 พันล้านบาท ท่องเที่ยวพัทยาหงอยสุดในรอบ 20 ปี บี้รัฐเร่งแก้ไขและรับผิดชอบในการกระทำ ขณะที่ ททท.ระบุ 10 ประเทศออกหนังสือเตือนนักท่องเที่ยวแล้ว
นายโคทม อารียา ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึงข้อเสนอแนะแนวทางพร้อมเรียกร้องรัฐบาล 7 ข้อสำคัญ โดยเฉพาะจากความรุนแรงวานนี้ว่า หากรัฐบาลไม่ดำเนินการ สิ่งที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยเป็นอย่างมาก โดยอาจจะทำให้สภาพเศรษฐกิจไทยถดถอยไปกว่า 10 ปี อย่างไรก็ตามรัฐบาลจำเป็นต้องยุบสภาหรือลาออกหรือไม่ เห็นว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ทางที่ดีรัฐบาลควรทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
เศรษฐกิจไทยโตลดลงอีก1%
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาคเอกชน เป็นห่วงสถานการณ์การเมืองโดยก่อนการประชุม ได้หารือกับนายกรัฐมนตรี ว่า ได้ขอให้นายกฯรักษาคำพูดที่ได้แถลงต่อรัฐสภาโดยเฉพาะเรื่องการใช้วิธีสมานฉันท์ เพราะหากปล่อยให้การเมืองยืดเยื้อและเกิดประวัติสาสตร์ซ้ำรอย จะทำให้เศรษฐกิจไทยบอบช้ำมากขึ้นไปอีก เพราะผลจากเศรษฐกิจโลกก็ทำให้เศรษฐกิจไทยถดถอยอยู่แล้วโดยเชื่อว่าในปี 52 จะเติบโตลดลงจากปีนี้อีก 1% จากที่เชื่อว่าภายในปีนี้จะเติบโตประมาณ 4-5% ที่สำคัญเมื่อมีปัญหาเรื่องการส่งออก ก็จะมีผลต่อธุรกิจและส่งผลให้แรงงานไทยตกงานมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่งเพราะในแต่ละปีจะมีแรงงานเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก
ทั้งนี้ ก่อนการเข้าพบนายกรัฐมนตรี นายสันติ วิลาศศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า จะเสนอให้รัฐบาลทราบว่าภาคเอกชนมีความเป็นห่วงเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา เพราะไม่เป็นผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวที่กำลังจะกลับมาฟื้นตัวหลังจากที่รัฐบาลได้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องรัฐบาลต้องดูแลและต้องหลีกเลี่ยงไม่ให้มีการปะทะกัน เพราะเมื่อมีลักษณะของความรุนแรงเกิดขึ้นก็จะมีข่าวออกไปทั่วโลก ทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองไทยไม่ดี ขณะเดียวกัน ไม่อยากให้รัฐบาลประกาศใช้สถานกาณ์ฉุกเฉินอีกเพราะจะทำให้การท่องเที่ยวแย่ลงไปอีก และหากจะทำอะไรก็ขอให้ปรึกษาหลาย ๆ ฝ่ายให้รอบคอบ
ส่วนจะเกิดเหตุการณ์ยุบสภาหรือไม่เป็นเรื่องที่ภาคเอกชนรับได้อยู่แล้ว เพราะที่ผ่านมาเอกชนเจอมาหลายเหตุการณ์ทั้งการปฏิวัติ หรือวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ภาคเอกชนต้องตั้งรับอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การยุบสภาก็อาจทำให้ประเทศต้องสะดุดลงอีก เพราะจะไม่มีรัฐบาลและเกิดช่องว่าง อีกทั้งเลือกตั้งใหม่ก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาอย่างไร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ เป็นเรื่องของรัฐบาลจะตัดสินใจเอง
ทัวร์ญี่ปุ่น-เกาหลียกเลิกทันที 500คน
นายประสิทธิ์ วิชัยสุชาติ เลขาธิการสมาคมเรือไทย เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ความรุนแรงที่ตำรวจสลายม็อบกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) เมื่อวันที่ 7 ต.ค.51 ล่าสุดมีรายงานว่า มีการยกเลิกการเดินทางมาประเทศไทยช่วงวันที่ 15 ต.ค.นี้แล้ว 3 กรุ๊ปทัวร์จาก 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และ เกาหลี รวมประมาณ 500 คน ทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จากนักท่องเที่ยวทันทีไม่น้อยกว่า 6 ล้านบาท เพราะจากสถิติของกรุงเทพมหานคร ระบุว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีวันพักเฉลี่ยใน กทม.ประมาณ 3 วัน รวมค่าใช้จ่ายต่อคนอย่างต่ำที่ 12,000 บาท
“ยังไม่ทราบว่านับจากวันนี้ไป จะมีการยกเลิกการเดินทางมาอีกจำนวนมากหรือไม่ ซึ่งก็ขึ้นอยู่ว่าสถานการณ์ทางการเมืองของไทยจะรุนแรง ยืดเยื้อหรือบานปลายไปมากแค่ไหน เพราะภาพความรุนแรงจากการสลายม็อบ ที่มีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต ได้ถูกเผยแพร่ไปในต่างประเทศหมดแล้ว โดยสำนักข่าวต่างประเทศ จึงต้องการให้รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องหาทางยุติปัญหาโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ประเทศชาติเกิดความสูญเสียไปมากกว่านี้ เพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นจะกระทบกับทุกธุรกิจ ไม่ใช่แค่ภาคท่องเที่ยว”
อัดสปอร์ตวิทยุดึงคนไทยช่วย
ยอมรับว่า ตั้งแต่ต้นปี ธุรกิจท่องเที่ยวทางน้ำและเรือภัตตาคาร อยู่ในขาลงมาโดยตลอด โดยเฉพาะ เดือนกันยายนที่ผ่านมาที่รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มาใช้บริการท่องเที่ยวทางน้ำและเรือภัตตาคาร ลดลงไปไม่น้อยกว่า 60-65% ขณะที่ภาพรวมของนักท่องเที่ยวในธุรกิจนี้ 70% เป็นชาวต่างชาติ เบื้องต้น สมาคม ได้หารือกับสมาชิก หาแนวทางแก้ไข จึงมีมติให้จัดทำโฆษณา เป็นสปอร์ตวิทยุ ออกในคลื่นวิทยุ ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)ได้ซื้อเวลาไว้แล้ว เพื่อกระตุ้นตลาดคนไทยให้เที่ยวทางน้ำเพิ่มขึ้น เพื่อมาเสริมตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไป นอกจากนั้นยังมีรายการโทรทัศน์ทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ ของ อ.ประมาณ จะ ทำเป็นสารคดี ท่องเที่ยวทางน้ำ ผ่านคลอดเก่าแก่ใน กทม. โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น เชื่อจะกระตุ้นตลาดคนไทยได้เพิ่มอีก 5-10%
ท่องเที่ยวทางน้ำสูญ 5 พันลบ.
ทางด้านนาวาโทปริญญา รักวาทิน อุปนายกสมาคมเรือไทย กล่าวว่า มูลค่าธุรกิจท่องเที่ยวทางน้ำและเรือภัตตาคารรวมทั้งที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯและ ที่ไม่ได้เป็น สามารถสร้างรายได้เข้าประเทศได้มากถึงปีละ 1 หมื่นล้านบาท โดยในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจไม่เติบโตมากนัก แต่ยังรักษาฐานรายได้ไว้ได้ แต่ปีนี้ มองว่า ทั้งปัญหาความรุนแรงทางการเมืองของประเทศไทย ปัญหาเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันแพง จะกระทบให้อุตสาหกรรมนี้มีรายได้ถดถอยไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง หรือหายไปประมาณ 5 พันล้านบาท ในสิ้นปีนี้
“ปกติในแต่ละวันจะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มาใช้บริการเรือทัวร์และเรือภัตตาคารทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนไม่น้อยกว่า 5 พันคน แต่ขณะนี้ ลดไปกว่าครึ่ง และ จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ต.ค. จะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปกว่าเดิม ขณะที่นักท่องเที่ยวคนไทย เฉพาะที่เรือริเวอร์ไซต์ ปัจจุบันเหลือลูกค้าเพียงวันละ 80-120 คน จากปกติจะมีประมาณวันละ 200 คน จึงต้องการให้ภาครัฐหาทางยุติสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเร็ว เพราะ จะเข้าไฮซีซั่นแล้ว”
อย่างไรก็ตาม มองว่า การชุมนุมโดยสงบ เป็นเรื่องที่ชาวต่างประเทศรับได้ เพราะเป็นปกติของระบอบประชาธิปไตย แต่ ต้องไม่มีภาพการใช้ความรุนแรงอย่างที่เกิดขึ้นนี้ เพราะนักท่องเที่ยวเขาย่อมเกิดความวิตกกังวล และเปลี่ยนการเดินทางแน่นอน
พัทยานักท่องเที่ยววูบในรอบ20ปี
ด้านนายชัชวาล ศุภชยานนท์ นายกสมาคมโรงแรมภาคตะวันออก กล่าวว่า สื่อต่างชาติแพร่ภาพความรุนแรงของสถานการณ์ในประเทศไทยไปหมดแล้ว ย่อมกระทบต่อธุรกิจท่องเที่ยวทั้งประเทศแน่นอน เพราะมีความอ่อนไหวสูง ซึ่งช่วงเดือนกันยายนตั้งแต่มีการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุม และ ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนถึงขณะนี้ ยอดจองล่วงหน้าลดลงไม่น้อยกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน หากรัฐบาลไม่เร่งหาทางออก เป็นหน้าที่ที่รัฐจะต้องรับผิดชอบ กับสิ่งที่เกิดขึ้น และหาทางยุติโดยเร็ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเชื่อว่า การท่องเที่ยวในภาคตะวันออกโดยเฉพาะพัทยาช่วงไฮซีซั่นปีนี้ จะเงียบเหงามากที่สุดในรอบ 20 ปี
10ประเทศออกหนังสือเตือนนักท่องเที่ยว
ด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นายสุรพล เศวตเศรนี รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผน กล่าวว่า หลังเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา มี 10 ประเทศ ได้ออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวฉบับใหม่ล่าสุด โดยระบุความรุนแรงการเตือนในระดับ 3 จาก 5 ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมัน ญี่ปุ่น นอร์เวย์ สวีเดน ไอร์แลนด์และประเทศในเครือจักรภพอังกฤษ ส่วนประเทศแคนาดา เตือนในระดับสูงสุด
สิ่งที่ ททท.เร่งดำเนินการ คือนำข้อมูลข้อเท็จจริงใส่ในเว็บไซต์ของ ททท. พร้อมกับส่งข้อมูลไปยังสำนักงาน ททท.ในต่างประเทศ เน้นเรื่องของการอธิบายว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติของระบบประชาธิปไตย และ อธิบายว่าไม่มีนักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ เพราะพื้นที่ที่มีปัญหา อยู่ห่างจากพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว คนไทย และ ทุกคนที่อยู่เมืองไทยยังใช้ชีวิตได้ปกติ
อย่างไรก็ตาม ททท.อยู่ระหว่างการประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์ความรุนแรงครั้งนี้ ซึ่งขณะนี้ยังตอบเป็นตัวเลขชัดเจนไม่ได้ คงต้องรออีกอย่างน้อย 1 สัปดาห์
เมเจอร์ฯถามหาความชัดเจน
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์กรุ้ป กล่าวว่า ตอนนี้คิดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเริ่มสุกงอมแล้ว ในฐานะที่เป็นเอกชนก็ต้องการความชัดเจนจากรัฐบาลว่าจะทำอย่างไร จะลาออก ยุบสภา หรือตั้งรัฐบาลแห่งชาติ เพราะเอกชนจะได้ทำตัวได้ถูกต้อง อีกอย่างสามารถให้คำตอบกับต่างชาติได้ด้วย เพราะวันนี้ชาวต่างชาติไม่เข้าใจสถานการณ์ในประเทศไทยว่าเป็นอย่างไร
“ที่ผ่านมา ปัญหาก็ยังไม่จบ แต่เหตุการณ์เมื่อวันอังคาร ที่มีการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างรุนแรงนั้น อาจจะนำมาซึ่งความชัดเจนก็ได้ในอนาคต เท่าที่ดูแล้วนั้น คิดว่าคนไทยรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดในวงกว้างแค่ไหน แต่สิ่งที่เราห่วงมากคือ ภาพพจน์ของประเทศไทย กระทบเศรษฐกิจโดยรวม เพราะคนไทยหรือคนต่างชาติที่จะมาลงทุนก็เกิดความกลัว”
อย่างไรก็ตามวันนี้ในฐานะที่เป็นนักธุรกิจ ทุกคนต้องโฟกัสธุรกิจของตัวเองให้ชัดเจน ส่วนรัฐบาลก็ต้องให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายในประเทศ เพราะวิกฤติโลกตอนนี้ก็หนัก ขอให้ทุกคนอย่าเสียความมั่นใจ ต้องกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่าย อย่าหยุดการลงทุน เพราะถ้าหากทุกคนหยุดลงทุน ตกใจแล้วหยุดหมดทุกอย่าง รัฐบาลก็เช่นกัน อย่าหยุดการกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่อย่างนั้นจะยิ่งแย่
ซีพีเอฟขยายไลน์ไม่หวั่นการเมือง
ผู้จัดการรายวัน - ซีพีเอฟไม่หวั่นปัญหาการเมือง เหตุคนต้องกินอาหารอยู่แล้ว ลุยขยายไลน์อาหารปรุงสุกสู่กลุ่มหมู มั่นใจปีนี้ยอดกลุ่มนี้ 150 ล้านบาท อัดงบตลาด 25 ล้านบุก
นายสุพัฒน์ ศรีธนาธร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เจริญโภคภัณ์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากปัจจัยลบด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ที่เกิดขึ้นยังไม่กระทบกับบริษัทมากนัก เนื่องจากผลิตภัณฑ์อาหารเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องรับประทานอยู่แล้ว รวมทั้งการทำตลาดและกิจกรรมต่อเนื่องก็เป็นการกระตุ้นตลาดได้ทางหนึ่งด้วย
ล่าสุดซีพีเอฟได้ขยายไลน์อาหารสำเร็จรูปพร้อมทานแบรนด์ซีพีสู่กลุ่ม หมูแปรรูป อย่างเต็มตัว หลังจากที่เริ่มทดลองทำตลาดตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้ โดยทดลองมาประมาณ 8 เดือนแล้วได้รับการตอบรับที่ดี หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีกลุ่มอาหารสด อาหารแปรรูปไก่ และแปรรูปกุ้ง เนื่องจากกลุ่มหมูเป็นกลุ่มที่เติบโตกว่า 50% และมั่นใจว่าการขยายธุรกิจครั้งนี้จะทำให้มีแชร์รวมเพิ่มขึ้นเป็น 28-30% จากเดิมมีแชร์ประมาณ 23% ขณะที่ตลาดรวมอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งนั้นมีมูลค่า 1,500 ล้านบาท เติบโต 14%
|
|
|
|
|