|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แบงก์กรุงศรียันจีอียังไม่คิดจะขายหุ้นทิ้ง แม้ราคาปัจจุบันจะต่ำกว่าตอนจีอีเข้าซื้อที่ 16 บาท แต่ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 13 บาท รวมถึงการจะหาพันธมิตรใหม่ต้องใช้เวลา ยันแม้จะมีการขายหุ้นจริงก็ไม่กระทบฐานเงินทุนแบงก์ ส่วนสินเชื่อยังคงเป้าหมายเดิม และไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาวิกฤตการเงินโลก พร้อมเดินแผนซื้อธุรกิจรายย่อยเสริมทัพ โดยให้บริษัทลูกเป็นผู้เข้าซื้อหุ้น
นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ในขณะนี้ธนาคารยืนยันว่าทางกลุ่มจีอีจะยังไม่ขายหุ้นของธนาคารที่ถืออยู่ 33% หรือประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะตามข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้นั้น การจะขายหุ้นหรือการหาพันธมิตรนั้นจะต้องใช้เวลา เพราะต้องมีการวิเคราะห์หลายอย่าง เช่น การที่จะได้เป็นพันธมิตรกับจีอีนั้นต้องใช้เวลานานถึง 2 ปีครึ่ง
ทั้งนี้ จากวิกฤตสถาบันการเงินโลก ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทางจีอีจะมีขบวนการที่จะป้องกันความเสียหายในเชิงรุกด้วยการจัดฐานะทางการเงินและโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่ง แม้ในปัจจุบันก็มีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว รวมถึงมีการจัดการหนี้ให้อยู่ในระดับที่ดูแลจัดการได้ เช่น หนี้ระยะสั้นก็ต้องขยายระยะเวลาให้ยาว อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจีอีได้มีการป้องกันความเสียหายเชิงรุกด้วยการเพิ่มทุนก็สามารถผ่านไปได้เป็นอย่างดี ส่วนการขายสินทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นการขายธุรกิจย่อย ในกลุ่มของเครื่องใช้ไฟฟ้า
ส่วนกรณีที่ทางเทมาเส็กขายหุ้นที่อินโดนีเซีย เพราะอยากซื้อหุ้นของจีอีใน 3 ประเทศ ซึ่งประกอบด้วย ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ รวมถึงธนาคารกรุงศรีอยุธยานั้น คงเป็นแค่เพียงการแสดงความสนใจเท่านั้น ซึ่งทางธนาคารได้ทำการสอบถามไปยังจีอีแล้ว และได้รับคำตอบว่ายังไม่มีแผนที่จะขายหุ้นออกไป
"จีอีจะขายหุ้นแบงก์กรุงศรีฯหรือไม่คงไม่มีใครตอบได้ แต่อยากให้ดูข้อเท็จจริงความเป็นไปได้ที่จะขาย เพราะการร่วมหุ้นในองค์กรใหญ่นั้นก็ต้องใช้เวลามาก และการจะเข้ามาก็ต้องคุยกับกลุ่มรัตนรักษ์ ซึ่งก็ต้องดูหัวจรดเท้าว่ายังไง ต่างคนก็ต้องวิเคราะห์ซึ่งกันและกัน และถ้าใครจะเข้ามาก็ต้องใช้เวลา และต้องดูว่าคนใหม่ที่เข้ามาจะทำประโยชน์อะไรให้กับแบงก์ได้บ้าง แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะเข้ามาแทนจีอี แต่ก็ไม่อยากฟันธงว่าเขาจะขายหรือไม่"
สำหรับแนวทางในการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์นั้น นายวีระพันธุ์กล่าวว่า สามารถตัดไปได้เลย เนื่องจากหากจะขายในตลาดหลักทรัพย์จริง ก็จะต้องมีผู้รู้และบอกต่อกัน ซึ่งก็จะทำให้เกิดข่าวในตลาดและทำให้ราคาดิ่งลง แต่อย่างไรก็ตาม หากทางจีอีจำเป็นต้องขายหุ้นของธนาคารนั้น ทางธนาคารก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวอะไร เพราะเงินที่ทางจีอีได้ใส่เข้ามานั้นได้เข้ามาอยู่ในธนาคารหมดแล้ว ถ้าขายไปก็มีแต่เรื่องของกำไรหรือขาดทุนเท่านั้น และหากมีผู้เข้ามาใหม่ก็จะเป็นเพียงการเปลี่ยนชื่อในการถือหุ้น อีกทั้งราคาหุ้นที่จีอีซื้อนั้นอยู่ที่ 16 บาท แต่ในปัจจุบันราคาในตลาดอยู่ที่ 13 บาท ทำให้ความเป็นไปได้ที่จะขายจึงแทบจะไม่มี
นอกจากนี้ การซื้อขายหุ้นนั้นไม่ได้ทำให้ฐานเงินทุนของธนาคารลดลง อีกทั้งสภาพคล่องของธนาคารก็ยังอยู่ในระดับที่เพียงพอ ส่วนหนึ่งมาจากเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารที่น่าจะอยู่ในระดับที่สูงสุดเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ไทย
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ธนาคารยังไม่มีการปรับเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อของปีนี้โดยยังคงเป้าหมายการเติบโตทั้งปีที่ 26% แม้ว่าปัญหาการเมืองจะมีผลกระทบการเติบโตเศรษฐกิจโดยรวม แต่ก็ยังตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อตามปกติ ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสินเชื่อของธนาคารเติบโตแล้ว 20% แม้จะมีการขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไปแล้ว 6,000 ล้านบาทในครึ่งปีแรก อีกทั้งส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในครึ่งปีแรกก็เพิ่มขึ้นมาเป็น 3.86% จาก 3.2% ในปีก่อน
ส่วนไตรมาสที่ 3 เชื่อว่าการดำเนินธุรกิจก็ยังมีการเติบโตต่อไปได้ ซึ่งธนาคารจะมีการแถลงข่าวให้ทราบในวันที่ 20-21 ต.ค.นี้ อย่างไรก็ตามใน 2 เดือนที่ผ่านมาธนาคารก็ได้ขายหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ไปอีกล็อตหนึ่งจำนวน 9,000 ล้านบาท
นายตัน คอง คูน กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์การเมืองของไทยมองว่านักการเมืองน่าจะมองเห็นโอกาสในการสามัคคีกันเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกก็มีปัญหาด้านเศรษฐกิจอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามมองว่าธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทยยังมีความแข็งแกร่งและสามารถผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ เนื่องจากมีการทำธุรกรรมกับต่างประเทศในสัดส่วนน้อย อีกทั้งเคยผ่านวิกฤตมาแล้ว ในส่วนของธนาคารเองก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกน้อยมาก เนื่องจากไม่มีการลงทุนใดๆ นอกจากการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง(CDO) จำนวน 85 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้มีการประเมินมูลค่าตามราคาตลาดที่ด้อยลงแล้ว 51% และคาดว่าในไตรมาส 3 นี้จะมีการด้อยค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
สำหรับแผนการซื้อกิจการด้านธุรกิจการเงินรายย่อยนั้น ธนาคารยังคงมีแผนที่จะซื้อกิจการเกี่ยวกับธุรกิจการเงินเกี่ยวกับรายย่อยตามแผนเดิมที่วางไว้ แต่จะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการซื้อจากเดิมที่ธนาคารจะเข้าไปซื้อเอง โดยหันมาใช้วิธีให้บริษัทลูกดำเนินการซื้อกิจการดังกล่าวแทน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวมากกว่า ทั้งนี้รายละเอียดต่างๆธนาคารจะแจ้งให้ทราบต่อไป ซึ่งคาดว่าจะมีความคืบหน้าภายในเดือนต.ค.นี้
|
|
|
|
|