|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหุ้นไทยดิ่งเหว นักลงทุนต่างประเทศทิ้งหุ้นขนเงินเสริมสภาพคล่อง หลังวิกฤตสถาบันการเงินลุกลามสู่ยุโรป และประเมินแผนกู้วิกฤตการเงินไม่สามารถยุติปัญหาได้หมด กดดัชนีหุ้นไทยรูดกว่า 38 จุด หรือกว่า 6.48% ต่ำสุดในรอบ 5 ปี มาร์เกตแคปหดเหลือแค่ 4.38 ล้านล้านบาท ด้าน “ภัทรียา” เผยการเมืองร้อนซ้ำเติมตลาดหุ้นไทยวูบหนักกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค ขณะที่โบรกเกอร์ ประสานเสียง 7 แสนล้านดอลลาร์ไม่ครอบคลุมมูลค่าความเสียหาย เพราะไม่สามารถประเมินปัญหาจะจบเมื่อใด พร้อมแนะนำให้ชะลอลงทุน หลังหาจุดแนวรับไม่เจอ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (6 ต.ค.) นักลงทุนได้เทขายหุ้นออกมาอย่างหนัก กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในภาคเช้า ซึ่งสอดคล้องกับตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่าปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ จะยังคงลุกลามและขยายวงกว้างออกไปอีก แม้ว่าทางการสหรัฐฯ จะอนุมัติแผนบรรเทาวิกฤตสถาบันการเงินมูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ทุกฝ่ายมั่นใจว่าวงเงินดังกล่าวไม่สามารถจะครอบคลุมความเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมด
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ เรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มปะทุขึ้นมาอีกรอบ เมื่อเจ้าหน้าที่ได้จับกุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปแล้ว 2 คน ทำให้นักลงทุนต่างกังวลว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะร้อนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ จึงได้เทขายหุ้นออกมา จนทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย
โดยดัชนีตลาดหุ้นมีจุดสูงสุดที่ 579.42 จุด ก่อนที่จะปรับตัวลดลงอย่างหนักและรวดเร็วในช่วงบ่าย และปิดการซื้อขายที่จุดต่ำสุดที่ระดับ 551.80 จุด ลดลงจากวันก่อนหน้าถึง 38.25 จุด หรือคิดเป็น 6.48% มูลค่าการซื้อขายรวม 14,408.45 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ลดเหลือ 4.38 ล้านล้านบาท และพี/อี ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 8.39 เท่า และดัชนีได้ปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบเกือบ 5 ปี นักจากวันที่ 8 ตุลาคม 2546 ดัชนีอยู่ที่ระดับ 560.74 จุด
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิมากถึง 2,221.99 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายุสุทธิ 1,087.72 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิกว่า 3,309.70 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ปิดที่ 202 บาท ลดลง 24 บาท หรือ 10.62% มูลค่าการซื้อขาย 1,888.74 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 110 บาท ลดลง 14 บาท หรือ 11.29% มูลค่า 1,717.87 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 59 บาท ลดลง 4.50 บาท หรือ 7.09% มูลค่า 975.05 ล้านบาท
วิกฤตการเงินลามสู่ยุโรปฉุดตลาดหุ้นไทย
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวลดลงเป็นไปตามตลาดหุ้นภูมิภาค และตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป จากได้รับผลกระทบทางด้านจิตวิทยาจากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามไปในยุโรป ทำให้ตลาดหุ้นภูมิภาคปรับตัวลดลงประมาณ 5%
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลงแรงในช่วงท้ายตลาด หลังจากตลาดหุ้นยุโรปเปิดมีการปรับตัวลดลง บวกกับนักลงทุนอาจมีความกังวลในเรื่องปัจจัยการเมืองภายในประเทศ อาจจะไม่นิ่งจากที่ พล.ตรีจำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกควบคุมตัว ทำให้ตลาดหุ้นไทยปิดลดลง 6% ซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ 1-1.5%
นางภัทรียา กล่าวว่า วิกฤตปัญหาสถาบันการเงินขณะนี้ยังประเมินได้ยาก ต้องติดตามดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งทางสหรัฐฯ ได้มีการผ่านแผนกอบกู้วิกฤติสถาบันการเงินแล้ว แต่ต้องรอดูผลกระทบของธนาคารพาณิชย์ในยุโรปก่อน ซึ่งขณะนี้เรื่องดังกล่าวส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนในตลาดหุ้นยุโรป และเอเชีย ไม่ได้เกิดเฉพาะตลาดหุ้นไทย ซึ่งหากปัญหาดังกล่าวแก้ไขได้เร็ว จะทำให้ปัญหาจบได้เร็วและไม่ยืดเยื้อ
“ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงประมาณ 5% แต่ในช่วงท้ายปรับตัวลดลงแรงทำให้ปรับตัวลงมา 6% จากที่ตลาดหุ้นต่างประเทศเปิดและแนวโน้มปรับตัวลดลง และจากความกังวลทางด้านการเมืองที่ไม่นิ่ง ทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงกว่าตลาดหุ้นอื่น ทั้งฮ่องกง สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ปรับตัวลงประมาณ 4-5%”
สำหรับปัญหาการถูกบังค้บขาย (ฟอร์ซเซลล์) และการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมากนั้น นางภัทรียา กล่าวว่า จากการตรวจสอบทั้งในส่วนการปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) และบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ (TSFC) พบมีการปล่อยมาร์จิ้นมีไม่มาก เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายโดยรวม เพราะในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นเราขึ้นไม่มาก ทำให้นักลงทุนไม่ได้แห่เข้ามาขอมาร์จินเพื่อซื้อเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม หากนักลงทุนที่ลงทุนโดยใช้เงินสด และสามารถที่จะถือลงทุนได้นานนั้นก็ไม่ควรตกใจขายหุ้นออกมา ควรที่จะถือเพื่อรับเงินปันผล เพราะผลตอบแทนเงินปันผลของหุ้นหลายบริษัทให้ผลตอบแทนถึง 7-8% หรือเฉลี่ยทั้งตลาดประมาณ 4% ซึ่งดีกว่าตกใจขายหุ้นออกมา
นางภัทรียา กล่าวว่า วานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ร่วมเดินทางไปกับกระทรวงการคลังอาเซียน เพื่อเข้าประชุมรัฐมนตรีคลังอาเซียน ที่ดูไบ ซึ่งจากการประชุมในครั้งนี้ มีช่วงที่ให้แต่ละประเทศพูดในเรื่องการลงทุนของแต่ละประเทศ ซึ่งการไปประชุมครั้งนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะได้พบกับนักลงทุนของดูไบเพื่อที่จะชวนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย และกองทุนแมทชิ่งฟันด์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) จัดตั้ง
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะชวนให้นักลงทุนดูไบเข้ามาลงทุนดัชนีชารีอะห์ จากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนที่จะจัดทำดัชนีดังกล่าว โดยให้ทางฟุ้ตซีเป็นผู้ดำเนินการ โดยขณะนี้มีบริษัทจดทะเบียนไทย จำนวน 14 บริษัท หรือคิดเป็น 31% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ที่เข้าเกณฑ์การลงทุนชารีอะห์
รมว.คลังเผยหุ้นตกตามตลาดโลก
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.คลัง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกที่เกิดความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ในยุโรป ที่เกิดผลกระทบทำให้สินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลง แต่กรณีสินทรัพย์ในไทยยังถือว่ายังลงไม่มาก ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้ จะใช้มาตรการอะไรไปช่วยมากไม่ได้ ส่วนมาตรการเกี่ยวกับการเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีให้กับเงินลงทุนในกองทุน LTF และ RMF นั้น ขณะนี้ยังไม่เห็นรายละเอียด ต้องรอให้รัฐบาลได้แถลงนโยบายก่อน
นายสุชาติกล่าวว่า จะเตรียมออกมาตรการเป็นแพ็คเกจดูแล SME เพราะจะเป็นผู้ประกอบการกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤติการเงินโลกซึ่งทำให้การขอสินเชื่อทำได้ยากขึ้น เบื้องต้นได้มอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ศึกษาแนวทางการหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมาทดแทนวงเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ไม่สามารถปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับสถาบันการเงินเพื่อนำไปปล่อยสินเชื่อต่อได้ โดยมีวงเงินเดิม 5-6 หมื่นล้านบาท
"ขณะนี้สภาพคล่องในระบบการเงินของไทยยังไม่มีปัญหา กระทรวงการคลังจะประสานดูแลให้สภาพคล่องมีเพียงพอต่อระบบเศรษฐกิจ" รมว.คลังกล่าวและว่า ภาครัฐมีมาตรการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประชาชนในระดับรากหญ้าผ่านกลไกของทั้ง 3 ด้าน คือ คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง คณะกรรมการโครงการพัฒนาศักยภาพชุมชน (SML) และคณะกรรมการสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP)
กสิกรฯชี้ต่างชาติทิ้งหุ้นไทยต่อเนื่อง
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล. กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงแรง เกิดจากวิกฤตการเงินของสหรัฐฯ ที่ได้ลุกลามไปยังสถาบันทางการเงินของยุโรป จากการที่รัฐบาลเยอรมนีร่วมกับธนาคารและบริษัทประกันในประเทศจัดทำแผนช่วยเหลือฉุกเฉินไฮโปเรียลเอสเต็ทโฮลดิ้งเอจีมูลค่า 50 พันล้านยูโร หรือประมาณ 68 พันล้านเหรียญสหรัฐ และบีเอ็นพีพาร์บาส์เอสเอ จะซื้อกิจการธุรกิจของฟอร์ตีส ในเบลเยี่ยมและลักเซมเบิร์ก เนื่องจากแผนช่วยเหลือธนาคารดังกล่าวของรัฐบาลก่อนหน้านี้ไม่ สามารถรักษาเสถียรภาพของสถาบันการเงินแห่งนี้ได้
สำหรับปัจจัยทางด้านการเมืองภายในประเทศนั้น ประเมินว่ามีผลกดดันต่อตลาดหุ้นไม่มากนัก ให้น้ำหนักประมาณ 20% ซึ่งเชื่อว่านักลงทุนต่างชาติยังคงขายต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนต่างชาติมีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งในขณะนี้ขายไปเพียง 1.2 แสนล้านบาทเท่านั้น ยังมีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะขายได้อีก โดยในช่วงนี้มองว่าตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสปรับตัวลดลงได้อีก ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และตลาดหุ้นจะมีความผันผวนมาก ซึ่งในขณะนี้ไม่แนะนำให้ลงทุน ควรจะถือเงินสดไว้ โดยน่าจะรอให้ดัชนีปรับลดลงถึงจุดต่ำสุดก่อน คาดว่าใช้เวลา 3-6 เดือน ซึ่งประเมินแนวรับที่ 533 จุด และแนวต้านอยุ่ที่ 560 จุด
7แสนล้านดอลล์ไม่เพียงพอ
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากนักลงทุนมองว่าแผนบรรเทาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ มูลค่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐจะไม่เพียงพอต่อปัญหาที่เกิดขึ้น รวมทั้งรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ยังคงเปราะบาง บวกกับช่วงบ่ายได้เกิดกระแสข่าวสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของเยอรมัน ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยเองยังได้รับปัจจัยด้านการเมืองจึงส่งผลให้ตกลงแรงกว่าตลาดอื่น
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดจะปรับตัวลงต่อเนื่อง เพราะวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่มีทีท่าจะจบเมื่อใด รวมถึงให้จับตาการเมืองภายในประเทศที่เริ่มกลับสู่ทางตันอีกครั้ง ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุน หรือเทขายทำกำไรเมื่อราคาหุ้นที่สูงขึ้น โดยมีแนวรับที่ 540 จุด และแนวต้านที่ 580 จุด
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นักลงทุนวิตกกังวลเม็ดเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จะไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาสถาบันการเงินที่เกิดขึ้น ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวลดลงเฉลี่ยประมาณ 5% ขณะที่ช่วงบ่ายยังมีข่าวร้ายเข้ามาสมทบจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของเยอรมนีประสบปัญหาทางการเงิน
“ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยังอยู่ในช่วงขาลง โดยยังมองหาแนวรับและแนวต้านไม่เจอ และไม่ทราบว่าแนวโน้มวิกฤตการเงินสหรัฐฯ จะจบเมื่อใด นักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน” นางสาวปองรัตน์ กล่าว
นางสาวจันทนา วัฒนกูล ผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เคทีบี จำกัด (มหาชน) หรือ KTBS กล่าวว่า การจับกุม 2 แกนนำพันธมิตรฯ เป็นปัจจัยที่เข้ามาผสมโรงกับวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามมากยิ่งขึ้น และกดดันให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงมากกว่าตลาดหุ้นภูมิภาค เพราะทำให้การเมืองไทยกลับเข้าสู่ทางตันอีกครั้ง
“ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับลงเรื่อยๆ จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามไปยังยุโรป นักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน โดยมีแนวรับที่ 540 จุด และแนวต้านที่ 567 จุด”
|
|
|
|
|