สำหรับแวดวงธุรกิจกองทุนรวมแล้วไม่มีใครไม่รู้จัก
วนา พูลผล ผู้บริหารกองทุนรุ่นใหม่ที่น่าจับตามอง
อย่างมาก ปัจจุบันเขากำลังพิสูจน์ฝีมือตนเอง
ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตการทำงานกับ บลจ.บีโอเอ
"พวกเราจะเป็นกองทุนรวมที่ดีที่สุดในโลก" เป็นคำพูดของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บลจ.บีโอเอ วนา พูลผล ที่ให้สัมภาษณ์ "ผู้จัดการ" เพียงไม่กี่เดือนหลังจากตัดสินใจเข้ามารับภารกิจครั้งสำคัญในชีวิตสำหรับเส้นทาง
การทำงาน
คำพูดดังกล่าวเป็นความใฝ่ฝันของผู้บริหารทุกคน และวนาก็ไม่แตกต่างไปจากผู้บริหารมืออาชีพรุ่นใหม่ไฟแรงหลายๆ
คนที่แสวงหาความสำเร็จในเส้นทางของตนเอง และในขณะที่เขาให้สัมภาษณ์เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างยิ่ง
ทันทีที่วนาเข้ารับตำแหน่งใหม่ได้จัดประชุมพนักงานทุกคนเพื่อระดมความคิด
สร้างวิสัยทัศน์พร้อมกับเชิญผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาให้คำแนะนำ
"ผมถามทุกคนว่าใน 3-5 ปีข้างหน้า ต้องการให้บริษัทเป็นอย่างไร" เขาเล่า
การสร้างความคุ้นเคยและร่วมมือกันกำหนดทิศทางการดำเนินงานภายใต้ผู้นำคนใหม่วัย
38 ปี ต้องใช้เวลาถึง 2 วัน และผลลัพธ์ที่ออกมาเป็นข้อความสั้นๆ ที่อยู่ภายใต้วิสัยทัศน์
"มุ่งเน้นการสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า"
คำถามก็คือ บลจ.บีโอเอจะดำเนินการอย่างไรให้บรรลุความสำเร็จ เพราะหากพิจารณากันแล้วพบว่าบรรดากองทุนรวมที่เปิดให้บริการในปัจจุบันไม่มีความแตกต่างกันมากนัก
โดยเฉพาะกลยุทธ์การสร้างผลตอบแทนในระดับน่าพอใจให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน
"อันดับแรกจะเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ต้องการลงทุนในกองทุนของพวกเรา
หมายถึงสามารถซื้อหน่วยลงทุนผ่านสาขาธนาคารเอเชีย และพันธมิตรของบริษัท"
วนาบอก
นอกจากนี้เขายังพยายามสร้างการลงทุนผ่านกองทุนรวมให้เป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงิน
ให้เป็นเรื่องปกติเหมือนกับการฝากเงินในระบบธนาคารพาณิชย์ ดังนั้นการดึงดูดลูกค้าด้วยการนำเสนอสิทธิพิเศษ
จึงถูกจัดให้เป็นกิจกรรมที่สำคัญ
นอกเหนือไปจากผู้ถือหน่วยลงทุนไว้วางใจ บลจ.บีโอเอ พร้อมกับตัวเลขผลตอบแทนในระดับน่าพอใจ
แต่พวกเขาต้องการให้ลูกค้าได้มากกว่านี้ สิทธิพิเศษทั้งส่วนลดร้านอาหาร
โรงแรม กิจกรรมรูปแบบต่างๆ จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"ในที่สุดแล้ว พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะได้รับความพิเศษแตกต่างไปจากกองทุนรวมอื่นๆ"
วนาชี้ "พวกเราไม่ได้ให้แค่ผลตอบแทน ซึ่งเป็นรูปแบบการทำงานที่บริษัทคาดหวังเอาไว้ในปัจจุบัน"
นอกเหนือไปจากบริษัทได้นำรูปแบบ และกลยุทธ์ทางการตลาดเข้ามาใช้สร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าแล้ว
การสร้างผลตอบแทนและการนำเอาเทคโนโลยีทันสมัยสำหรับควบคุมความเสี่ยงเป็นอีกภารกิจสำคัญ
เนื่องเพราะปัจจุบันการแข่งขันอุตสาหกรรมกองทุนรวมในประเทศเปิดกว้างอย่างมาก
และส่วนใหญ่เน้นการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพื่อควบคุมความเสี่ยงให้ผู้ถือหน่วยลงทุนไว้วางใจ
เช่นเดียวกับ บลจ.บีโอเอที่เริ่มจัดการกับเรื่องดังกล่าว
ทุกวันนี้บริษัทเพิ่มระบบของการคัดเลือกการลงทุนเข้มงวดมากยิ่งขึ้น คือ
การควบคุมความเสี่ยง ด้วยการสนับสนุนจาก บลจ.เอบีเอ็น แอมโร ธุรกิจในเครือ
ของธนาคารเอบีเอ็น แอมโร ผู้ถือหุ้นใหญ่บลจ.บีโอเอ ผ่านธนาคารเอเชีย
ภายใต้ความเสี่ยงดังกล่าวบริษัทพยายามแสวงหาผลิตภัณฑ์การลงทุนใหม่ๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีภายใต้ความเสี่ยงที่ผู้ถือหน่วยลงทุนยอมรับได้
ดังนั้นจากนี้ไปผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบธรรมดา (Plain Vanilla) ลดความสำคัญลงจากการ
ลงทุนที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
จากการปรับปรุงการดำเนินงานภายใต้การควบคุมความเสี่ยง ส่งผลให้กองทุนรวมเอบีเอ็น
แอมโร ทรัพย์มั่นคง ตราสารหนี้ (ABNSS) สร้างผลตอบแทนในระดับน่าพอใจ เช่นเดียวกับกองทุนรวมเอบีเอ็น
แอมโร มิลเลนเนียม แอดวานเทจ (ABNMA) และเอบีเอ็น แอมโร มิลเลนเนียม โกรว์ธ
(ABNMG)
"จุดเด่นของพวกเราอยู่ที่การได้เป็นบริษัทในเครือของเอบีเอ็น แอมโร ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจเพื่อตอบสนอง
ลูกค้าได้ดีเป็นอย่างมาก" วนากล่าว
หากพิจารณาถึงแนวทางการบริหารกองทุนแล้วพบว่า บลจ.บีโอเอ ค่อนข้างอนุรักษนิยม
(Conservative) พอสมควร สังเกตจากเน้นกองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income
Funds) มากกว่ากองทุนรวมตราสารทุน (Equity Funds)
เหตุผลเนื่องจากผู้ถือหน่วยลงทุนล้วนแล้วแต่เป็นลูกค้าผู้ฝากเงินกับธนาคาร
เอเชีย ดังนั้นจึงรับความเสี่ยงได้ในระดับต่ำ แม้ว่าที่ผ่านมากองทุน ABNMG
ที่เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งสามารถสร้างผลตอบแทนในตัวเลขสองหลักก็ตาม
"สิ่งที่มาอันดับแรกไม่ใช่ผลตอบแทน แต่เป็นความปลอดภัยของเงินลูกค้า" วนาเล่า
"ตัวเลขผลตอบแทนอาจจะไม่ได้เป็นที่หนึ่งตลอดเวลา แต่ดีกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาด
และเมื่อเห็นความเสี่ยงจงถอยห่างออกไป เพราะพวกเราไม่ต้องการเห็นความเสียหายเกิดขึ้นเหมือนอดีตที่ผ่านมา"
จากลักษณะอนุรักษนิยม มีคำถามตามมาว่า ความท้าทายสำหรับผู้บริหารรุ่นใหม่มีมากน้อยเพียงใด
"ชนะใจ ลูกค้าและเน้นการตลาดมากขึ้นและสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน
ทำให้พวกเขาไว้วางใจให้ได้"
จากวันแรกที่เข้ามารับผิดชอบในบลจ.บีโอเอ ดูเหมือนว่าเส้นทางของวนาเริ่มต้นได้สวยงามและประทับใจพอสมควร
แม้ว่าเขาไม่ต้องการเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมกองทุนรวม แต่ต้องการให้ลูกค้ามีความพอใจและอยู่กับบริษัทตลอดไป
นอกจากนี้หากพิจารณาในแง่การเติบโต บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดปรับตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากก่อนหน้าที่วนาจะเข้ามารับตำแหน่งส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ระดับ 6% แต่ปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ
6.31% ซึ่งเป็นแนวโน้มที่ดีสำหรับการดำเนินธุรกิจ
อีกทั้งสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเพิ่มขึ้นกว่า 7,000 ล้านบาท หรือมากกว่า
25% จากปลายปีที่ผ่านมา 28,000 ล้านบาท เป็น 35,000 ล้านบาท "เป้าหมายของพวกเราในปีนี้คาดว่าจะมีกำไรเพิ่มขึ้นถึง
260% และเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารเป็นสองเท่าภายใน 2 ปีข้างหน้า
จากความมุ่งมั่นของวนาสามารถลดแรงกดดันให้กับตัวเองและผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้อย่างมาก
เนื่องเพราะตลอดระยะเวลา เกือบ 5 ปีที่ผ่านมา บลจ.บีโอเอ เปลี่ยนตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารมาแล้ว
2 คน
ปลายปี 2542 นิคิล ศรีวาสัน เข้ารับตำแหน่งดังกล่าวหลังจากปีก่อนหน้าทำงานให้กับธนาคารเอเชีย
ในฐานะหัวหน้า กลุ่มงานวางแผนด้านกลยุทธ์ ดูแลการกำหนดกลยุทธ์รุกธุรกิจในกลุ่มธนาคารพาณิชย์
ภารกิจสำคัญในครั้งนั้นของเขา ก็คือการปรับองค์กรใหม่ แต่บริหารงานได้ไม่กี่เดือนก็ลาออก
โดยมีอดิศร เสริมชัยวงศ์ เข้ามารับหน้าที่แทนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2543
และครั้งแรกที่ "ผู้จัดการ" สัมภาษณ์ เขาบอกถึงความตั้งใจว่า "เราต้องการเป็น
Asset Management ที่ดีที่สุด"
อย่างไรก็ตาม อดิศรตัดสินใจลาออกเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และบลจ.บีโอเอได้วนาเข้ามาบริหารงานต่อภายใต้บรรยากาศ
ตลาดทุนไทยกำลังฟื้นตัว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่เขาจะพิสูจน์ตัวเองจากความเชื่อมั่น
นับตั้งแต่ตัดสินใจรับหน้าที่สำคัญนี้