คุณผู้อ่าน ที่เป็นแฟนประจำผู้จัดการรายเดือนคงได้อ่านเรื่องจากปกฉบับ เดือนเมษายน
ที่เจาะลึกวงการดอทคอมบ้านเราไปแล้ว และคงทำให้ปฏิเสธไม่ได้ ถึงความมาแรงของกระแสธุรกิจดอทคอม
ตลอดจนการแข่งขัน ที่ส่อเค้าดุเดือดยิ่งขึ้นต่อจากนี้ไป
และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งในวงการดอทคอม หรือแวดวง ที่ข้องเกี่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ซึ่งครอบคลุมถึงวงการไอที ธุรกิจค้าส่ง สินค้าอุปโภคบริโภค สิ่งพิมพ์ การโฆษณา
ตลอดจนวงการไฟแนนซ์ คุณนึกสงสัยบ้างไหมว่า คุณจะตกงานเมื่อไร ถ้าคุณตามสาระ
กลไก และ ที่สำคัญสุดคือ วิธีคิดของวงการดอทคอมไม่ทัน
หากคุณเริ่มรู้สึกตงิดตงิดกับคำว่า "ดอทคอม" และบริษัท ที่จ้างคุณก็ไม่เคยส่งคุณไปอบรมเรื่องเคียงใกล้กับวงการนี้ละก็
คุณควรเริ่มหันมาดูเรื่องของโลกการศึกษาดอทคอมบ้าง เพราะนี่คือ แหล่งให้ความรู้
ที่ทันสมัยที่สุดแล้ว สำหรับวงการที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกธุรกิจ ซึ่งคาบเส้นอยู่ระหว่างปัจจุบัน
และอนาคต
โลกการศึกษาดอทคอมคือ อะไร
ฝรั่งเรียกเรื่องนี้อย่างเก๋ไก๋แต่ได้ใจความว่า เอ็ดดูเคชั่นดอทคอม และ
ณ วันนี้ ผู้คนที่ใช้คำนี้บ่อยๆ มักจะหมายถึงการศึกษาด้านการบริหารธุรกิจเป็นหลัก
โดยเน้นการเรียนรู้ผ่านสื่ออินเทอร์เน็ต และรวมถึงผู้เล่นหรือซัปพลายเออร์
ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก ที่มีโปรแกรมเอ็มบีเอมีชื่อเสียง
มหาวิทยาลัยเปิด บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ ที่ตั้งมหาวิทยาลัยธุรกิจของตนเอง ที่เรียกว่า
คอร์ปเปอเรตยูนิเวอร์ซิตี้ บริษัท ลูกครึ่ง- กึ่งมหาวิทยาลัยกึ่งบริษัทดอทคอม
และล่าสุดนี้ ที่เริ่มมีมากขึ้นคือ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ด้านการศึกษาดอทคอม
ถามว่าทำไมถึงเกิดขึ้นได้ และอย่างไร
ก่อนจะตอบว่าทำไม และอย่างไร ขออ้างอิงสถิติ ที่น่าสนใจจาก Corporate University
Xchange บริษัทที่ปรึกษา และวิจัยด้านการศึกษา ดังนี้
ในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา ในสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัย ที่มีภาคเรียนบังคับให้เรียนจบภาย
ใน 4 ปี ปิดตัวลงถึง 100 แห่ง
ในช่วงเดียวกันนี้ บริษัทยักษ์ใหญ่ และ ที่อยากเป็นยักษ์ขนาดใหญ่ได้ตั้งมหาวิทยาลัย
และ วิทยาลัยของบริษัทเองเพิ่มขึ้นจากเพียง 400 แห่ง เป็น 1,600 แห่ง โดยเน้นการเรียนการสอนระบบอินทราเน็ตเป็นหลัก
บริษัทที่ปรึกษาแห่งนี้คาดการณ์ว่าภายใน 3 ปีข้างหน้า การเรียนรู้ผ่านระบบอินทราเน็ต
ตามบริษัทต่างๆ จะขยายสัดส่วนขึ้นไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของการเรียนรู้ทั้งหมด
ที่จะเกิดขึ้น
ฟังดูแล้วอย่าเพิ่งตกใจ เพราะยังมีสถิตินำเสนอให้น่าสะกิดใจยิ่งขึ้นอีก
:
* บริษัทไอดีซี-International Data Corpor ation-บอกว่า ในปี 2541 มีผู้คนลงทะเบียนเรียนหนังสือในหลักสูตรการศึกษาทาง
ไกล 710,000 คน ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าภายใน 2-3 ปี จะเพิ่มขึ้นเป็นถึง 2.2 ล้านคน
* ส่วนตัวเลขชุดสุดท้ายนี้ ผู้เขียนหามาเองจากอินเทอร์เน็ต เพราะความอยากรู้อยากเห็นเรื่องการศึกษาทางไกล
ได้กลายเป็นหัวข้ออ่านอดิเรกสำหรับผู้เขียนมาเป็นเวลา 3-4 ปีแล้ว นับแต่เจ้านายเคยให้ทำโปรเจกต์เรื่องนี้
กล่าวคือ จำนวนเว็บไซต์ภายใต้หัวข้อการศึกษาทางไกล*ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม ร้อยเศษๆ
เมื่อราว 2 ปีมาแล้วเป็น 556 ไซต์ในปัจจุบัน แยกแยะตามประเภทต่างๆ ได้ถึง
38 ประเภทหลักๆ ได้แก่ หลักสูตรออนไลน์ การอบรมผ่านอินเทอร์เน็ต บริษัทที่ปรึกษาให้คำแนะนำด้านหลักสูตร
นิตยสารออนไลน์ ให้ข้อมูลข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับการเรียนรู้ออนไลน์ ฯลฯ
* ส่วนในรายละเอียด ที่เกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาทางไกลระดับอุดมศึกษานั้น
ในปัจจุบันมีโปรแกรมระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ในทั้ง สหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ
เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย ถึง 195 โปรแกรม ส่วนระดับปริญญาตรีนั้น มีจำนวนตามมาไล่ๆ
ถึง 125 โปรแกรม ซึ่งในกรณีหลังนี้นับว่าเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทีเดียวเมื่อเทียบกับเมื่อ
3-4 ปี ก่อน ที่มีเพียงหยิบมือเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ต่อข้อถามว่าโลกการศึกษาดอทคอมเกิดขึ้นได้อย่างไร สถิติเหล่านี้มี
ที่มาเหมือนกันอยู่ประเด็นหนึ่ง นั่นคือ การสื่อความรู้ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต
บริษัทเอกชน ที่เข้ามาในวงการศึกษาโดยใช้อินเทอร์เน็ตมีจำนวนไม่น้อย และจำนวนเงินลงทุนก็ไม่น้อยเช่นกัน
บริษัทที่ปรึกษาแห่งหนึ่งประมาณตัวเลขลงทุนนับแต่ปี 2537 ว่าน่าจะสูงถึง
3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เหตุผลของการลงทุนฟังดูก็น่าสนใจไม่น้อย นั่นคือ
เขาเหล่านี้มองว่า การศึกษาเป็นวงการที่เหมาะกับการลงทุนยิ่งขึ้นๆ เพราะตลาดการศึกษากระจัดกระจายอย่างไม่มีศักยภาพ
ขาดประสิทธิภาพในการดำเนินการ เหมาะที่สุด ที่จะเป็นเขตแดนใหม่สำหรับนักลงทุนมืออาชีพ
เฉพาะอย่างยิ่งหากใช้ระบบอินเทอร์เน็ตเข้าไปจัดระเบียบ เพราะข้อดีของอินเทอร์เน็ตคือ
การทำให้ระบบอะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่มีประสิทธิภาพนั้น ให้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น
และเร็วขึ้น บริษัทเอกชนให้การศึกษาเหล่านี้กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการ
"reinvent" การเรียนรู้ให้ได้ระดับมาตรฐานเช่นเดียวกับ amazon.com หรือ yahoo.com
กล่าวคือ จะต้องเป็นตามระบบ self-service ยืดหยุ่น และเข้าถึงได้ตลอด 24
ชั่วโมง
เลือกอย่างไรจึงจะได้ผล
หัวข้อนี้ไม่ได้ถามว่าจะเลือกอะไร เพราะหลักสูตร "อะไร" นั้น มีมากมาย ทั้งตามสาขาวิชาชีพ
และหัวข้อวิชา ที่เหมาะกับการให้ความรู้ใหม่หรือเสริมความรู้เดิมให้แกร่งยิ่งขึ้น
แต่คุณผู้อ่านอาจจะต้องถามตนเองว่าถนัด และ เหมาะกับวิธีการเรียนรู้แบบใด
เพราะโลกการศึกษาดอทคอม มีทางเลือกให้หลากหลายทั้ง ที่เป็ น
(1) วิธีการแบบโบราณ เพียงแต่ยกเครื่องใหม่จากมหาวิทยาลัยเปิด ที่มีชื่อเสียงด้านการศึกษาทางไกลมานาน
เช่น Open University และ Henley Management ในประเทศอังกฤษหรือ
(2) วิธีการแบบลูกครึ่ง คือ การรับเนื้อหาออนไลน์ผนวกกับการเรียนรู้ในชั้นเรียนกับครูหรือผนวกกับซีดีรอม
หรือ
(3) วิธีการแบบออนไลน์ทั้งดุ้นโดยผู้เรียนกำหนดตารางเรียน ตาราง ประเมินผลเอง
ที่ปรึกษาด้านการศึกษาดอทคอมหลายรายตั้งคำถามสำคัญว่าคนเรา เรียนรู้ออนไลน์กันอย่างไร
และเทคโนโลยีอะไร ที่จะมาช่วยตรงนี้ได้ พวกเขาเหล่านี้ได้ให้คำตอบกลายๆ ว่า
ณ ขณะนี้ การเรียนรู้ ที่น่าจะให้ผลดีที่สุดควรจะต้องมีติวเตอร์-tutor -ออนไลน์ช่วยไกด์
และเกื้อหนุนผู้เรียนด้วย และอีกอย่างที่ขาดไม่ได้คือ การเรียนรู้ในห้องเรียนด้วย
ดังนั้น บริษัทให้การศึกษาดอทคอมที่ดีนั้น จะต้องลงทุนอบรมติวเตอร์ และผู้ดำเนินหลักสูตรด้วย
แปลกแต่จริง เพราะนี่ก็คือ ข้อสรุป ที่ผู้เขียนได้เช่นกันจากการทำโปรเจกต์การศึกษาทางไกลให้เจ้านาย
ซึ่งจบลงเมื่อสองปีก่อน แถมด้วยประเด็นสำคัญสำหรับผู้เรียนไทย ที่ฝรั่งไม่ได้พูดถึงเลย
นั่นคือ ความจำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษอย่างเร่งรัด และมุ่งเฉพาะหัวข้อหลักสูตรด้วย
* เก็บความจาก Financial Times Survey... Business Education ฉบับวันที่
3 เม.ย.2543
** หากคุณผู้อ่านสนใจจะเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มเติมขอแนะให้ใช้ คำว่า distance
learning ไม่ใช่ distance education เพื่อจะได้ต้องตามคำนิยมของ อเมริกันผู้ครองโลกเว็บ
และได้ข้อมูลมากกว่าคำหลัง