Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ ตุลาคม 2551








 
นิตยสารผู้จัดการ ตุลาคม 2551
โลกาภิวัตน์รุกธุรกิจโรงพยาบาล             
 


   
search resources

Hospital




เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปล/เรียบเรียง
เรื่อง ดิอีโคโนมีสต์ 14 สิงหาคม 2551

ชาวอเมริกันกำลังรู้สึกว่า ไยจึงต้องทนกับโรงพยาบาลในประเทศที่ค่ารักษาแสนแพง แถมคุณภาพก็ "งั้นๆ" ในเมื่อสามารถไปรับการรักษาที่ดีกว่าในเอเชียและที่อื่นๆ

Robin Cook รู้ดีถึงอันตรายในโรงพยาบาล Cook ซึ่งเป็น แพทย์ที่จบการศึกษาจาก Harvard คือนักแต่งนิยายสยองขวัญที่ใช้ฉากในแวดวงการรักษาพยาบาลมาหลายสิบเรื่อง รวมถึงที่นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อย่าง Coma และ Outbreak ซึ่งเขาคาดการณ์ได้ถูกต้องเกี่ยวกับการเกิดโรคระบาดร้ายแรง และการโจมตีด้วยอาวุธเชื้อโรค anthrax รวมถึงตลาดมืดซื้อขายอวัยวะ Foreign Body นิยายเล่มล่าสุดของเขาก็ยังคงเป็นจินตนาการสยองขวัญที่เล่นกับสิ่งที่กำลังจะเป็นแนวโน้มใหม่ในอุตสาหกรรม การรักษาพยาบาล นั่นคือการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ

เรื่องราวในหนังสือเกี่ยวกับ Maria Hernandez แรงงานหญิงชาวอเมริกัน ซึ่งเดินทางไปที่อินเดียเพื่อผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกเทียม เนื่องจากไม่สามารถสู้ค่าผ่าตัดที่แสนแพงในสหรัฐฯ ได้ แต่พระเจ้า! เธอและนักท่องเที่ยวทัวร์สุขภาพคนอื่นๆ กลับเสียชีวิต อย่างลึกลับ แต่เมื่อเปรียบเทียบชะตากรรมของ Hernandez กับคนไข้และนักท่องเที่ยวทัวร์สุขภาพตัวจริงอย่าง Robin Steele ชาวอเมริกันซึ่งเพิ่งเดินทางไปเข้าโรงพยาบาล Wockhardt ในอินเดีย เพื่อรับการผ่าตัดหัวใจ เขาไม่เพียงแต่กลับมามีสุขภาพดีได้ แต่ยังได้เพลิดเพลินกับการหยุดพักผ่อนในอินเดียหลังจากการผ่าตัด พร้อมกับประหยัดเงินไปได้หลายพันดอลลาร์อีกด้วย

ชะตากรรมของ Hernandez อาจทำให้นิยายขายดี แต่สุขภาพที่ดีของ Steele จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่อนาคตของธุรกิจ การรักษาพยาบาล ซึ่งแต่เดิมเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีลักษณะจำกัดอยู่แต่ภายในท้องถิ่นมากที่สุด แต่บัดนี้กำลังจะกลายเป็นธุรกิจโลกาภิวัตน์มากขึ้น หลายปีต่อจากนี้ไป โลกอาจจะได้เห็นการลงทุนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกในธุรกิจนี้ จะมีแพทย์ พยาบาล และคนไข้ข้ามพรมแดนมากขึ้น ซึ่งจะนำผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและโอกาส ในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลไปพร้อมกับพวกเขาด้วย แม้หากความรุ่งเรืองของทัวร์สุขภาพทั่วโลกอาจจะไม่มากอย่างที่คาดหวัง แต่ก็ยังสามารถจะเป็นตัวเร่งให้รัฐบาลและโรงพยาบาลในสหรัฐฯ เริ่มหันมาคิดทบทวนตัวเอง และยังอาจจะนำการแข่งขันเข้าไปสู่ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในสหรัฐฯ รวมทั้งที่อื่นๆ ในโลก

ความจริงโลกาภิวัตน์มิใช่เรื่องใหม่สำหรับโรงพยาบาล การ outsource งานเก็บประวัติคนไข้ การถ่ายทอดบันทึกการรักษาของแพทย์ผ่านสื่อทางไกล และการวิเคราะห์ฟิล์มเอกซเรย์ เป็นสิ่งที่โรงพยาบาลทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว นักเศรษฐศาสตร์จาก Columbia University ยังคิดด้วยว่า โรงพยาบาลยังอาจจะโอนงาน อื่นๆ ไปให้บริษัทในต่างประเทศทำได้อีก เช่น งานบริการลูกค้าและงานที่เกี่ยวกับขั้นตอนการเรียกร้องค่าสินไหมประกันสุขภาพ การ outsorce งานเหล่านี้จะช่วยให้โรงพยาบาลในสหรัฐฯ สามารถ ประหยัดเงินไปได้ถึง 70,000-75,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี หลายปีมานี้ โรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐฯ อย่างเช่น Mayo Clinic และ John Hopkins ยังแตกกิ่งก้านสาขาไปยังตะวันออกกลางและเอเชียด้วย

นอกจากนี้การที่คนไข้ที่ร่ำรวยเดินทางไปทำศัลยกรรมที่ เมืองนอกก็เป็นเรื่องปกติที่มีมานานแล้ว Dennis Cortese ผู้บริหาร Mayo Clinic ในมินนิโซตา ตั้งข้อสังเกตว่า ธุรกิจรักษาพยาบาล อาจเป็นโลกาภิวัตน์มานานถึง 100 ปีแล้ว เมื่อไม่กี่ปีก่อน ชาวอังกฤษที่เบื่อกับการรอคอยคิวผ่าตัด เริ่มเดินทางไปรับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อหรือทำศัลยกรรมเสริมสวยในต่างประเทศ โดยที่บางกรณีรัฐบาลอังกฤษยังออกเงินให้อีกด้วย แต่เมื่อคิวของคนไข้ในระบบสวัสดิการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษเริ่มสั้นลง และการขอเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลเริ่มเข้มงวดขึ้น แนวโน้มนี้จึงชะงักไป

อย่างไรก็ตาม คนไข้กลุ่มใหม่จะมาเติมเต็มช่องว่างตรงนี้ สิ่งที่ทำให้ใครๆ รู้สึกตื่นเต้นในขณะนี้ก็คือ โอกาสที่การท่องเที่ยว เชิงสุขภาพจะรุ่งเรืองสุดๆ ในระดับมวลชน เมื่อชนชั้นกลางชาวอเมริกันกำลังเตรียมพร้อมและเต็มใจที่จะกระโจนเข้าสู่การท่องเที่ยวชนิดนี้ รายงานของบริษัทที่ปรึกษา Deloitte เมื่อเดือนกรกฎาคมทำนายว่า จำนวนชาวอเมริกันที่จะเดินทางไปรับการรักษาในต่างประเทศ จะเพิ่มขึ้นจาก 750,000 คนในปีที่แล้วเป็น 6 ล้านคนในปี 2010 และจะแตะหลัก 10 ล้านคนในปี 2012 คาดว่า คนไข้อเมริกันจะหอบเอาเงิน 21,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี เข้าไปให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาภายในเวลา 4 ปีข้างหน้านี้ ระบบการรักษาพยาบาลที่รัฐบาลอุดหนุนของยุโรปอาจจะพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า เพื่อหว่านล้อมประชาชนให้รับการรักษาภายในประเทศ ต่อไป แต่คนไข้ในยุโรปก็ยังเริ่มเดินทางไปรักษาในต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากค่ารักษาที่ถูกกว่าและสามารถเดินทางไปได้อย่างง่ายๆ

โรงพยาบาลในเอเชียดูจะเป็นผู้ชนะรายใหญ่ที่สุด โดยโรงพยาบาลดาวรุ่งในเอเชียอย่างเช่น Parkway Health ของสิงคโปร์ ต่างยินดีต้อนรับคนไข้ต่างชาติ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ของไทยรักษาคนไข้ชาวอเมริกันจำนวนหลายหมื่นคนต่อปี และเพิ่งขยายโรงพยาบาลเพื่อรองรับคนไข้จากต่างประเทศ 6,000 คน พร้อมกับ อ้างว่านั่นทำให้บำรุงราษฎร์กลายเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก การเพิ่มขึ้นของคนไข้ชาวอเมริกันที่โรงพยาบาล Wockhardt ในอินเดีย ทำให้ Vishal Bali ผู้บริหารสูงสุดของโรงพยาบาลเชื่อมั่นว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกำลังถึงจุดพลิกผัน อย่างแท้จริง

แต่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดเช่นนั้น รายงานของ McKinsey บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการโต้แย้งว่า เป็นการกล่าวอ้างที่ไม่สมเหตุสมผลที่ว่า มีคนไข้หลายล้านคนเดินทางไปรับการรักษาในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวก็ยังทำนายว่า อนาคตของทัวร์สุขภาพดูสดใส และในระยะยาว อาจจะทำให้ความคิดที่ว่า ธุรกิจรักษาพยาบาลเป็นธุรกิจที่จำกัดอยู่แต่ภายในท้องถิ่นหมดไป

นักวิชาการจาก Harvard Business School เห็นพ้องด้วย โดยชี้ว่า แม้ว่าตลาดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพอาจจะยังกล่าวโอ้อวดเกินจริงไปบ้างในขณะนี้ แต่ตลาดนี้กำลังเริ่มจะกลายเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่ผ่านไป ธุรกิจใดที่ผู้ให้บริการตั้งราคาไว้สูง แต่การบริการกลับมีความผิดพลาดสูง ก็ย่อมเป็นช่องว่างที่เปิดโอกาสให้แก่คู่แข่งที่แคล่วคล่องว่องไวกว่า ผู้ให้บริการที่ว่านั้นก็คือระบบการรักษาพยาบาลของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาลถึง 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ แต่กำลังต้องการการปฏิรูปโดยด่วน

การที่การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพจะกลายเป็นอุตสาหกรรมระดับโลกนำโดยคนไข้จากอเมริกานั้น ทำให้เกิดคำถามขึ้น 2 ข้อ คือ เหตุใดทัวร์สุขภาพจึงเพิ่งจะมารุ่งเรืองเอาตอนนี้และจะเกิดผล เช่นใดต่อระบบการรักษาพยาบาลทั้งในชาติยากจนและชาติร่ำรวย

เมื่อก่อนนี้มีชาวอเมริกันเพียงน้อยคนที่จะเดินทางไปรับการรักษาในต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ชาวอเมริกันที่ต้องการใช้บริการรักษาพยาบาลเริ่มเดินทางไกลจากบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมักจะออกค่าใช้จ่ายเอง และไม่ใช่การเดินทางระยะใกล้อย่างเช่นเพียงเวเนซุเอลา หรือเพียงข้ามชายแดนเข้าไปในเม็กซิโกเพื่อซื้อยาราคาถูกเท่านั้น แต่ขณะนี้ชาวอเมริกันกำลังเดินทางข้ามโลกเพื่อไปรับการผ่าตัดเข่าและผ่าตัดหัวใจ รวมไปถึงการตัดมดลูกและผ่าตัดหัวไหล่

แรงจูงใจประการหนึ่งที่ทำให้ชาวอเมริกันทำเช่นนั้นคือเพื่อประหยัดเงิน ค่ารักษาที่แสนแพงในสหรัฐฯ สูงจนแซงหน้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไปแล้ว ทำให้สหรัฐฯ เป็นตลาดที่มีค่ารักษาแพงที่สุดในโลก แต่ Deloitte คำนวณว่า ค่าผ่าตัดหลายอย่างโดยเฉลี่ยของโรงพยาบาลดีๆ ในต่างประเทศ เท่ากับประมาณ 15% เท่านั้นของค่ารักษาที่คนไข้จะต้องจ่ายให้แก่โรงพยาบาลในสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วค่าใช้จ่ายใดๆ ในอเมริกาก็มักจะแพงกว่าในประเทศยากจนอยู่แล้ว ดังนั้นค่ารักษาที่ถูกเพียงอย่างเดียวจึงยังไม่สามารถอธิบายสาเหตุที่ทำให้ชาวอเมริกันเกิดแห่กันไปรักษาในต่างประเทศได้ ปัจจัยอีก 2 ประการคือ หนึ่งคุณภาพของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในเอเชียและละตินอเมริกาในขณะนี้ ดีเทียบเท่าโรงพยาบาลหลายๆ แห่งในประเทศร่ำรวย และประการที่สองคือ การที่ตาข่ายความปลอดภัยของการประกันสุขภาพที่ไม่สมบูรณ์ในสหรัฐฯ กำลังเริ่มขาดหลุดรุ่ย

ชาวอเมริกันมากกว่า 45 ล้านคนไม่มีประกันสุขภาพ และอีกหลายล้านคนทำประกันไว้ในวงเงินที่ต่ำมาก คนเหล่านี้เห็นว่าการบินไปเมืองนอกและยอมควักกระเป๋าจ่ายค่าผ่าตัดด้วยตัวเอง สำหรับการผ่าตัดชนิดเดียวกันในสหรัฐฯ ยังถูกกว่าการซื้อประกันสุขภาพที่ยังต้องหาเงินมาจ่ายค่ารักษาขั้นต้นหรือจ่ายสมทบ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนที่ผู้ประกันตนต้องรับผิดชอบเองด้วยซ้ำไป Arnold Milstein จากบริษัทที่ปรึกษา Mercer เรียกคนอเมริกันกลุ่มนี้ว่า "ผู้ลี้ภัยทางการแพทย์"

ธุรกิจขนาดใหญ่ยังสนใจที่จะเข้าร่วมวงด้วย Epstein, Becker & Green บริษัทกฎหมายในสหรัฐฯ ชี้ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่เริ่มสนใจที่จะสนับสนุนให้พนักงานไปท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ ซึ่งเป็นการพยายามรับมือกับค่ารักษาพยาบาลในสหรัฐฯ ที่แพงขึ้นตลอดเวลา หลายบริษัทพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้

Hannaford เชนร้านชำใน New England เสนอให้พนักงาน 27,000 คนของตน เดินทางไปรับการผ่าตัดในหลายๆ โรคที่โรงพยาบาลในสิงคโปร์แทนในสหรัฐฯ ซึ่งพนักงานจะสามารถ ประหยัดค่ารักษาที่ต้องจ่ายสมทบหรือจ่ายขั้นต้นไปได้ถึง 2,500-3,000 ดอลลาร์ Blue Ridge Paper Products บริษัทในรัฐ North Carolina ซึ่งผลิตกล่องกระดาษบรรจุนม พยายามเสนอให้พนักงานไปท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ แต่ถูกต่อต้านจากสหภาพ แรงงาน เลยต้องระงับแผนการดังกล่าวไป แต่ถึงแม้ว่าจะถูกขัดขวาง บริษัททั้งหลายในอเมริกาก็เริ่มสนใจที่จะให้พนักงานของตนไปเข้าโรงพยาบาลในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งสมาคม American Medical Association ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ให้แก่แพทย์ในสหรัฐฯ เอง ยังสร้างความประหลาดใจอย่างมาก เมื่อออกคำแนะนำเกี่ยวกับการเดินทางไปทัวร์สุขภาพในต่างประเทศ

นั่นทำให้บริษัทประกันรู้สึกกล้ามากขึ้น หลังจากที่ระมัด ระวังในเรื่องนี้มานาน บริษัทประกันจำนวนหนึ่งเริ่มเสนอทางเลือก "การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในต่างประเทศ" โดยสมัครใจให้แก่ลูกค้าองค์กร ผู้เชี่ยวชาญที่บริษัทกฎหมาย Epstein Becker ชี้ว่า บริษัทประกันกำลังกลัวว่าพวกเขาอาจจะล้าหลังคู่แข่ง หากไม่เสนอทางเลือกดังกล่าวให้แก่ลูกค้าบ้าง

หลังจากสามารถเอาชนะความคลางแคลงสงสัยที่มีมา แต่ดั้งเดิมได้แล้ว Aetna บริษัทประกันยักษ์ใหญ่ของอเมริกา ก็เริ่มโครงการนำร่องในปีนี้ในการร่วมมือกับโรงพยาบาลหลายแห่งในสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม Charles Cutler แห่ง Aetna กล่าวว่า เงินที่บริษัทประหยัดได้จากการส่งลูกค้าไปรับการรักษาที่สิงคโปร์นั้น ไม่ได้มากไปกว่าบริษัทประกันอื่นๆ เพราะ Aetna ได้รับส่วนลดมากมายอยู่แล้วจากโรงพยาบาลต่างๆ ในสหรัฐฯ เนื่องจากความที่เป็นบริษัทประกันยักษ์ใหญ่ที่มีอำนาจต่อรองสูง ดังนั้น การเดินทางไปเข้าโรงพยาบาลในต่างประเทศสำหรับลูกค้า Aetna จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัท ก็เฉพาะการผ่าตัดที่มีค่าใช้จ่าย สูงตั้งแต่ 20,000 ดอลลาร์ขึ้นไปเท่านั้น ซึ่งอาจรวมถึงการผ่าตัดหัวใจ

อย่างไรก็ตาม Cutler ยังคงรู้สึกกระตือรือร้น และตั้งข้อสังเกตว่า คุณภาพของโรงพยาบาลที่ดีที่สุดในต่างประเทศ อาจดีกว่าโรงพยาบาลอเมริกันโดยทั่วๆ ไปด้วยซ้ำ อันเนื่องมาจากการที่โรงพยาบาลเหล่านั้นได้ปรับปรุงเรื่องความโปร่งใส ทั้งยังมีเทคโนโลยีสารสนเทศที่ดีกว่าโรงพยาบาลทั่วไปในสหรัฐฯ ซึ่ง Cutler คิดว่า สาเหตุที่โรงพยาบาลในเอเชียปรับปรุงเรื่องความโปร่งใสรวมทั้งระบบคอมพิวเตอร์นี้ ก็เป็นเพราะต้องการจะทำตลาดกับลูกค้าชาวต่างชาติ ที่ยังคงมีความกังวลและคลางแคลงใน คุณภาพของโรงพยาบาลอยู่

David Boucher แห่ง Blue Cross and Blue Shield ใน South Carolina บริษัทประกันสุขภาพยักษ์ใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ก็สงสัยในคุณภาพของโรงพยาบาลในเอเชียในตอนแรก ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปดูด้วยตาตัวเอง เขาเดินทางมายังโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์เมื่อ 2 ปีก่อน Boucher เล่าว่าเขาได้นั่งจิบกาแฟที่ร้าน Starbucks ที่เปิดสาขาอยู่ในล็อบบี้ของโรงพยาบาล พลางบอกตัวเองว่า นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลประจำหมู่บ้านที่มีแต่มีดหมอที่ขึ้นสนิม เมื่อกลับไปอเมริกา เขาได้เกลี้ยกล่อมให้บริษัทอนุมัติให้เปิดแผนกใหม่ Companion Global Healthcare เพื่อจะเจาะตลาด "ทะเลสีคราม" (blue ocean) ที่ยังแทบไม่มีคู่แข่งนี้โดยเฉพาะ

Boucher เปิดเผยต่อไปว่า ลูกค้าของแผนกเขา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทผลิตสินค้าและบริษัทอื่นๆ ที่ส่วนต่างกำไรหดหาย ไปเนื่องจากการแข่งขันกับต่างประเทศ ต้องการทดลองดูว่า ความคิดของเขาจะเป็นจริงหรือไม่ นั่นคือเขาได้เสนอต่อบริษัทเหล่านั้นว่า จะสามารถลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของพนักงานลงได้ เพียงแค่ยอมให้พนักงานราว 5-8% เปลี่ยนไปรับการรักษาพยาบาลที่ถูกกว่าในต่างประเทศ Boucher ยังคาดการณ์ด้วยว่า ต่อไปสัดส่วนของพนักงานที่เปลี่ยนไปใช้บริการโรงพยาบาลที่ถูกกว่าในต่างประเทศ อาจจะเพิ่มขึ้นสูงจนถึง 1 ใน 5 ของจำนวนพนักงานทั้งหมด

การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพอาจจะฟังดูแปลกสำหรับคนไข้รายบุคคล แต่ Boucher ชี้ว่า การคิดอย่างโลกาภิวัตน์ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยสำหรับลูกค้าองค์กรของเขา บริษัทเหล่านี้อาจตั้งอยู่ใน Columbia, South Carolina แต่มีคู่แข่งหรือลูกค้าอยู่ในประเทศโคลัมเบียหรืออเมริกาใต้ รวมทั้งในแอฟริกาใต้และเอเชีย

Curtis Schroeder ผู้บริหารบำรุงราษฎร์คิดว่า ความต้อง การค้นหาสิ่งที่คุ้มค่า จะผลักดันให้คนพากันเดินมาในทิศทางของ เขา "ที่สำคัญคือ เรากำลังขายรถ Cadillacs ในราคา Chevy" Schroeder กล่าว และเขาก็มีเหตุผลดีพอที่จะเชื่อเช่นนั้น ในปีที่แล้วเพียงปีเดียว มีชาวอเมริกันประมาณ 33,000 คนที่เดินทางมารับการรักษาที่บำรุงราษฎร์

คนไข้จากต่างชาติที่หลั่งไหลเข้าไปในประเทศยากจน จะส่งผลต่อระบบสาธารณสุขทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนอย่างไร หากฟังจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ คุณก็อาจจะคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นโศกนาฏกรรม พวกเขาชี้ว่า ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะสภาพที่ย่ำแย่ของระบบการรักษาพยาบาลในสหรัฐฯ และผลที่จะเกิดขึ้นกับชาติกำลังพัฒนาก็จะเลวร้ายเช่นกัน การทะลักเข้ามาของคนไข้ต่างชาติจะทำให้เงินทุนและบุคลากรทางการแพทย์ไหลออกไปจากระบบสาธารณสุขของรัฐในชาติยากจน เพื่อไปทำงานที่ได้เงินเดือนดีกว่าในการดูแลรักษาคนไข้ต่างชาติและคนร่ำรวย

เป็นความจริงที่ว่า การที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรุ่งเรืองขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ระบบสาธารณสุขในสหรัฐฯ ล้มเหลว รายงานการวิจัยของธนาคารโลกแสดงความวิตกเกี่ยวกับปัญหา "สมองไหลภายในประเทศ" ว่าเป็นปัญหาที่น่าวิตกในบางประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ขาดแคลนแพทย์และพยาบาล

อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่เป็นผู้ส่งออกสุทธิแพทย์และพยาบาลรายใหญ่ อย่างเช่นอินเดียและฟิลิปปินส์ ปัญหาสมองไหลภายในประเทศแทบจะไม่ใช่ปัญหาที่น่าวิตก เพราะมีบุคลากร ทางการแพทย์ในจำนวนที่มากพอ และปัญหาขาดแคลนบุคลากรการแพทย์ที่มีอยู่ในบางประเทศ ก็สามารถจะบรรเทาลงได้ด้วยการปฏิรูป อย่างเช่นการเปลี่ยนวิธีสนับสนุนทางการเงินให้แก่การศึกษาด้านการแพทย์ ซึ่งยังจะเป็นการช่วยปรับปรุงระบบสาธารณสุขของภาครัฐที่กำลังป่วยไปพร้อมกันด้วย

มีเหตุผลดีพอที่ชวนให้คิดว่า การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพจะเป็นผลดีต่อชาติยากจน ประการหนึ่ง โรงพยาบาลเอกชนไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้โรงพยาบาลรัฐละเลยการรักษาคนจน ก่อนที่จะเกิดการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ หรือโรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลรัฐในอินเดียและในชาติกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายมานานแล้ว อันเป็นผลมาจากปัญหาคอร์รัปชั่นและการขาดการแข่งขันของโรงพยาบาลรัฐ แต่ไม่ใช่เป็นเพราะสาเหตุจากความยากจน เห็นได้จากการที่ประเทศยากจนหลายประเทศก็สามารถมีระบบสาธารณสุขที่มีคุณภาพได้ เช่น คอสตาริกา มาเลเซีย แม้กระทั่งชาติคอมมิวนิสต์อย่างคิวบา

นอกจากนี้การที่โรงพยาบาลเอกชนมีมาตรฐานสูงขึ้นเรื่อยๆ ยังจะส่งผลดีแบบเป็นลูกโซ่ที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนจน ธนาคาร โลกตั้งข้อสังเกตว่า การเพิ่มขึ้นของคลินิกเอกชนที่มีคุณภาพสูงในประเทศตรินิแดดและแถบทะเลแคริบเบียน ได้จูงใจให้แพทย์ที่ไปทำงานในต่างประเทศตัดสินใจอพยพกลับบ้านเกิด

ในอินเดียก็เกิด "สมองไหลกลับ" เช่นกัน หลายปีหลังมานี้ Bali ผู้บริหาร Wockhardt กล่าวว่า มีแพทย์ชาวอินเดียฝีมือดีมากกว่า 20 คนแล้วที่เดินทางกลับมาตั้งรกรากที่อินเดียจากอังกฤษ และสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเพราะการที่โรงพยาบาลของเขาเสนอสถานที่ทำงานที่มีคุณภาพระดับโลก และงานที่มีค่าตอบแทนอย่างดี เขาไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่า มีคนร่ำรวยเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์จากโรงพยาบาลของเขา ขณะนี้โรงพยาบาล Wockhardt ได้ขยายไปสู่เมืองชั้นรองๆ ลงไปในอินเดียแล้ว ซึ่งหมายความว่า คนธรรมดาทั่วๆ ไปก็สามารถที่จะเข้าถึงการรักษาเฉพาะทางได้เป็นครั้งแรก เช่นโรคหัวใจและการรักษาโรคข้อและกระดูก

ผลดีอีกประการที่เกิดขึ้นคือ มาตรฐานการรักษาพยาบาลที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หลายทศวรรษก่อน แทบจะไม่มีโรงพยาบาลใดเลยในประเทศยากจนที่จะสามารถอ้างได้ว่า สามารถให้บริการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพสูงสุด แต่ในวันนี้มีโรงพยาบาลนับสิบๆ แห่งทั่วโลก ที่ได้คุณภาพตามข้อกำหนดอันเข้มงวดในการรับรองคุณภาพโรงพยาบาลของคณะกรรมการที่มีชื่อว่า Joint Commission International สถาบันไม่หวังผลกำไรที่ได้รับความเคารพ ในการประเมินคุณภาพและความปลอดภัยของโรงพยาบาล อาจกล่าวได้ว่า การได้รับการรับรองจากคณะกรรมการดังกล่าวถือเป็น ราคาที่จำเป็นต้องจ่าย สำหรับโรงพยาบาลที่จริงจังกับการจะก้าว เข้าสู่ตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในระดับโลก

Tom Johnsrud แห่งโรงพยาบาล Parkway Health เครือ โรงพยาบาลยักษ์ใหญ่ของสิงคโปร์ ซึ่งเปิดสาขาในบรูไนและจีนด้วย เปิดเผยว่า คนไข้ต่างชาติมีสัดส่วนถึง 35-40% ของคนไข้ทั้งหมดในโรงพยาบาลของเขา แม้ว่าคนไข้จากสหรัฐฯ จะไม่ได้ส่งผลถึงขั้นชี้เป็นชี้ตายโรงพยาบาลที่หวังจับลูกค้าต่างชาติ แต่การสามารถ ดึงดูดคนไข้ชาวอเมริกันให้เข้ามารับการรักษา นับเป็นวิธีที่ช่วยสร้าง ชื่อเสียงให้แก่โรงพยาบาลได้อย่างดี และแม้ว่าการที่โรงพยาบาลเพิ่มมาตรฐานนั้น ก็เพื่อหวังจะดึงดูดลูกค้าต่างชาติ แต่คนไข้ในประเทศก็จะได้รับประโยชน์ด้วยเช่นกัน

โรงพยาบาล "ระหว่างประเทศ" บางแห่งยังก้าวล้ำหน้าไป กว่าโรงพยาบาลในสหรัฐฯ โรงพยาบาลที่ดีที่สุดกำลังถูกสร้างขึ้นจากการเริ่มนับหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องแบกภาระการมีอาคารและอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์เก่าๆ หรือสหภาพแรงงานที่เล่นการเมืองสูงหรือภาระอื่นๆ เหมือนกับโรงพยาบาลในสหรัฐฯ ที่กำลังถูกฉุดรั้งไว้ด้วยภาระเหล่านั้นอยู่ เมื่อบำรุงราษฎร์มองหาเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อจะนำมาใช้ในโรงพยาบาลเมื่อ 10 ปีก่อน แต่กลับพบว่าบรรดา บริษัทคอมพิวเตอร์ต่างปิดตัวเองเกรงความลับทางการค้ารั่วไหลและต่างคนต่างทำงาน อันเป็นวิธีทำธุรกิจของบริษัทในประเทศร่ำรวยมากเสียจนกระทั่งพวกเขาไม่อาจจะจัดการออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ใหม่ขึ้นมาจากศูนย์ให้สมบูรณ์สำหรับใช้ในโรงพยาบาลได้

แต่บำรุงราษฎร์ก็ไม่ได้หวั่นเกรงและตัดสินใจออกแบบระบบคอมพิวเตอร์ด้วยตัวเอง โดยศึกษาจากระบบที่ดีที่สุดของอุตสาหกรรมอื่นๆ Schroeder ชี้ว่า การที่บำรุงราษฎร์สามารถวางระบบคอมพิวเตอร์ได้สำเร็จ เป็นเพราะความได้เปรียบของบำรุงราษฎร์มิได้มีพื้นฐานอยู่ที่แรงงานราคาถูกอย่างเดียว แม้ว่าค่าจ้างแรงงานจะมีสัดส่วนเพียง 18% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมดของบำรุงราษฎร์ เทียบกับ 55% ของโรงพยาบาลในอเมริกา แต่ความแตกต่างที่สำคัญกว่านั้นคือวิธีการที่บำรุงราษฎร์ส่งมอบบริการให้แก่ลูกค้า

ระบบ IT ของบำรุงราษฎร์มีคุณภาพดียิ่งกว่าระบบในโรงพยาบาลสหรัฐฯ หรือยุโรป จน Microsoft ถึงกับเข้าซื้อระบบคอมพิวเตอร์ Global Care Solution ของบำรุงราษฎร์ไปเมื่อปีที่แล้ว Peter Neupert ผู้บริหารของ Microsoft บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ รู้สึกประทับใจกับความสำเร็จของโรงพยาบาลไทยแห่งนี้มาก จนตัดสินใจตั้งสำนักงานใหญ่ของ งานด้านระบบสารนิเทศโรงพยาบาลขึ้นในกรุงเทพฯ และยังระบุว่า ความสำเร็จในระบบสารนิเทศอย่างก้าวกระโดดของบำรุงราษฎร์นี้เป็นตัวอย่างที่ดีว่า นวัตกรรมสามารถจะเกิดขึ้นที่ใดก็ได้ เมื่อตลาดการรักษาพยาบาลเข้าสู่ตลาดโลกและแผ่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่ยังมีสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ ผลของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพก็ยังคงจำกัด การผ่าตัดหลายๆ อย่างไม่อาจจะทำในโรงพยาบาลต่างประเทศได้อย่างปลอดภัย และความวิตกเกี่ยวกับความรับผิดชอบทางกฎหมายและการรักษาพยาบาลที่ผิดพลาด ก็จะยังคงมีอยู่ตลอดไป นอกจากนี้ กลุ่มล็อบบี้สนับสนุนแพทย์ยังอาจจะพยายามขัดขวางแนวโน้มนี้ Schroeder แห่งบำรุงราษฎร์ยืนยันว่า โรงพยาบาลของเขาไม่ใช่ "หนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบสาธารณสุขของสหรัฐฯ"

เขาพูดถูกที่ว่า การที่ชาวอเมริกันเดินทางไปรักษาในโรงพยาบาลต่างประเทศ หาใช่ทางแก้ปัญหาที่สามารถทดแทนการปฏิรูประบบสาธารณสุขที่กำลังมีปัญหามากมายของสหรัฐฯ ได้ แต่การที่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้รับความนิยม ควรจะเป็นตัวเร่งให้สหรัฐฯ เร่งปฏิรูปการรักษาพยาบาลของตนเองมากกว่า IndUSHealth บริษัทตัวกลางระหว่างบริษัทประกันและลูกค้า องค์กร และช่วยประสานงานด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในอินเดียเห็นว่า ความสำคัญของทัวร์สุขภาพหาใช่การ "ส่งออก" คนไข้จากชาติร่ำรวยไปยังชาติกำลังพัฒนา แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นการ "นำเข้าการแข่งขัน" เข้าสู่โรงพยาบาลในสหรัฐฯ เสียมากกว่า

การแข่งขันที่มาจากโรงพยาบาลที่ดีที่สุดที่อยู่ในต่างประเทศ อาจจะเป็นการเริ่มนำความโปร่งใสและการแข่งขันในด้านราคา เข้าไปสู่ระบบการรักษาพยาบาลที่ไร้ประสิทธิภาพในชาติร่ำรวย ซึ่งเป็นตลาดที่เกือบผูกขาดและยังเต็มไปด้วยสิ่งจูงใจที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล การแข่งขันจากโรงพยาบาลในชาติกำลังพัฒนาอาจทำให้โรงพยาบาลในสหรัฐฯ และยุโรปลดค่ารักษาลง หากพวกเขาเริ่มตระหนักว่า จะต้องสูญเสียมากเท่าใดในเชิงธุรกิจ

Deloitte ประเมินว่า การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะทำให้สหรัฐฯ ต้องสูญเสียเงิน 162,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2012 จากการที่คนไข้นำเงินค่ารักษาไปจ่ายให้แก่โรงพยาบาลในต่างประเทศ แทนที่จะเป็นโรงพยาบาลในประเทศ มีสัญญาณว่าบรรดาผู้บริหารโรงพยาบาลอเมริกันเริ่มรู้สึกได้ถึงการแข่งขันแล้ว ส่วนโรงพยาบาลในยุโรปก็อาจจะหนีไม่พ้นแรงกดดันจากกระแสโลกาภิวัตน์ในธุรกิจรักษาพยาบาลนี้ด้วยเช่นกัน มีการประเมินว่า มีนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพชาวอังกฤษถึง 50,000 คน ที่ได้เดินทางไปรักษาในต่างประเทศในปี 2006 และใช้จ่ายเงินเป็นค่ารักษา ไปหลายล้านปอนด์ในตุรกี อินเดียและฮังการี

Charles Cutler แห่ง Aetna ยืนยันว่า ผู้บริหารโรงพยาบาล ในขณะนี้เริ่มรับรู้ถึงภัยคุกคามของการแข่งขันที่มาจากโรงพยาบาล ในต่างประเทศแล้ว กรณีของ Hannaford เครือข่ายร้านชำใน New England ทำให้โรงพยาบาลในท้องถิ่นต้องทบทวนนโยบายค่ารักษาพยาบาลของตัวเองใหม่ Christus Health โรงพยาบาลในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ ปกป้องตัวเองด้วยการซื้อกิจการ Muguerza เครือโรงพยาบาลในภาคเหนือของเม็กซิโก และขณะนี้ก็กำลังชักชวนให้ชาวอเมริกันไปใช้บริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่โรงพยาบาลที่เพิ่งซื้อมาในเม็กซิโกนั้น Thomas Royer ผู้บริหาร Christus Health กล่าวว่า เขาพร้อมจะขยายธุรกิจไปยังเปรูด้วย

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพกำลังจะเป็นสิ่งที่ Cutler เรียกว่าเป็น "กลไกตลาดแบบท้าทาย" ที่จะช่วยบีบให้โรงพยาบาลในสหรัฐฯ ต้องปรับปรุงทั้งราคาและคุณภาพการรักษาพยาบาล ไม่ว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะบังเกิดผลอย่างที่บรรดาผู้สนับสนุนต่างปรารถนาหรือไม่ก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ นี่คือพลังที่มิอาจไม่ได้รับการประเมินคุณค่า   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us