Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน30 กันยายน 2551
ตลาดหุ้นไทยดิ่งหนัก18จุดต่างชาติเทขายรับวิกฤตการเงินลามสู่ยุโรป             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยดิ่งหนัก รับตลาดหุ้นเอเชีย หลังสถาบันการเงินยุโรปเริ่มประสบปัญหาตามวิกฤตการเงินสหรัฐฯ กดดัชนีหุ้นไทยหลุด 600 จุด ก่อนจะเด้งกลับมาปิดที่ 601.29 จุด ลดลงเกือบ 18 จุด มูลค่าการซื้อขายหมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสิทธิอีก 1.3 พันล้านบาท นักวิเคราะห์ แนะนักลงทุนชะลอเทรดหุ้น เพื่อรอดูมาตรการแก้วิกฤตการเงินสหรัฐฯ ด้านบล.ทิสโก้ คาดการณ์ตลาดหุ้นไทยซึมลากยาวถึงไตรมาส 1/52 ก่อนจะเริ่มฟื้นในไตรมาสถัดไป

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ (29 ก.ย.) ยังคงได้รับปัจจัยลบจากต่างประเทศเป็นหลัก โดยในช่วงเช้านักลงทุนต่างรอดูท่าทีของสภาคองเกรส สหรัฐฯ ในการพิจารณามาตรการแก้วิกฤตสถาบันการเงิน มูลค่ากว่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่เคลื่อนไหวมากนัก รวมทั้งมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างเบาบาง โดยมีดัชนีสูงสุดที่ระดับ 619.33 จุด และปิดการซื้อขายช่วงเช้าที่ 615.59 จุด ลดลงจากวันก่อน 3.38 จุด หรือ 0.55% มูลค่าการซื้อขายรวม 3,189 ล้านบาท

ขณะที่เปิดตลาดช่วงบ่าย นักลงทุนได้เทขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากมีข่าวสถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์ในยุโรป เริ่มประสบปัญหาวิกฤตการเงินเช่นเดียวกับสหรัฐฯ ทำให้ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วจนหลุดแนวรับที่ระดับ 600 จุด แตะจุดต่ำสุดที่ 598.59 จุด แม้จะดีดกลับช่วงท้ายตลาดเล็กน้อยที่ 601.29 จุด ลดลงจากวันก่อน 17.68 จุด หรือคิดเป็น 2.86% มูลค่าการซื้อขายรวม 10,050.31 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้มียอดขายสุทธิสูงถึง 1,304.03 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 425.21 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 878.82 ล้านบาท

สำหรับมูลค่าหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่ บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปิดที่ 130 บาท ลดลง 6 บาท หรือ 4.41% มูลค่าการซื้อขายรวม 881.95 ล้านบาท บมจ.ปตท. ปิด 230 บาท ลดลง 6 บาท หรือ 2.54% มูลค่า 794.34 ล้านบาท และบมจ. บ้านปู (BANPU) ปิด 304 บาท ลดลง 28 บาท หรือ 8.43% มูลค่า 684.70 ล้านบาท

ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลักๆ ที่ปรับตัวลดลง คือ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 62 บาท ลดลง 2.50 บาท หรือ 3.88% มูลค่า 669.24 ล้านบาท ธนาคารไทยพาณิชย์ 68.50 บาท ลดลง 2 บาท หรือ 2.84% มูลค่า 487.17 ล้านบาท ธนาคารกรุงเทพ 103 บาท ลดลง 3 บาท หรือ 2.83% มูลค่า 434.33 ล้านบาท และธนาคารกรุงศรีอยุธยา 16.60 บาท ลดลง 0.80 บาท หรือ 4.60% มูลค่า 377.82 ล้านบาท

นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ KGI กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินในยุโรปส่งผลให้มีแรงขายหุ้นออกมา หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และลุกลามถึงยุโรป จนส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงถ้วนหน้า

“ใน 1-2 วันนี้ต้องจับตาการแก้ไขปัญหาตลาดการเงินทั้งในอังกฤษและสหรัฐฯ จะออกมาแนวทางใด โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรสเรียบร้อยแล้ว”

นายอดิศักดิ์ กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยรูดลงต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนระยะสั้นๆ ดังนั้นช่วงนี้จึงไม่แนะนำให้เข้ามาลงทุน โดยถือเงินสด เพราะตลาดมีความผันผวนหนัก โดยมีแนวรับที่ 585 จุด แนวต้านที่ 612 จุด

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัญหาสถาบันการเงินในยุโรปเริ่มประสบปัญหาหนี้เสีย ซ้ำรอยปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลพวงจากสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ที่เข้าไปถือหุ้นในยุโรปหลายแห่ง ดังนั้นจึงต้องติดตามขั้นตอนการแก้ปัญหาสถาบับการเงิน หลังทางการสหรัฐฯ อนุมัติเรียบร้อยแล้ว

“ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเอเชียได้รับผลพวงไปด้วย แต่เชื่อว่าผลกระทบอย่างรุนแรงไม่น่าจะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นเอเชียแล้ว เนื่องจากปัญหาที่เกิดวิกฤตการเงินเมื่อปี 40 ทำให้การลงทุนของคนเอเชียระมัดระวังมากขึ้น และไม่ค่อยทำธุรกรรมทางการเงินกับทางยุโรป แล้ว เนื่องจากมีบทเรียนมาแล้ว แม้กระนั้นก็ยังได้รับผลพวงเนื่องจากเกิดวิกฤตทั่วโลก โดยในระยะ 1 -2 วันนี้ ให้แนวรับที่ 590 จุด และแนวต้านที่ 610 จุด พร้อมเชื่อว่าตลาดหุ้นจะยังคมซึมต่อไป อีกระยะหนึ่ง จากผลกระทบที่เกิดขึ้นดังกล่าว และนักลงทุนไม่กล้านำเงินมาลงทุน”

ทิสโก้คาดตลาดหุ้นซึมยาวถึง Q1/51

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒน์กุล กรรมการบริหาร และหัวหน้าสายงานวิจัย บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยคงจะเงียบเหงายาวและถึงจุดต่ำสุดในไตรมาส 1/52 และจะเริ่มมีความชัดเจนขึ้นในช่วงไตรมาส 2/52 จากปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย แม้จะเป็นทางอ้อม โดยจะเห็นผลกระทบต่อตัวเลขภาคการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งในปี 52 อาจจะทำให้ตัวเลขการส่งออกขยายตัวต่ำกว่า 10% จากปัจจุบันที่โตถึง 14% เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ ถือเป็นเป็นตลาดหลักของไทย และอาจทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวผันผวนบ้างตามแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์

“ปัญหาดังกล่าวอาจทำให้สภาพคล่องในตลาดทั่วโลกลดลง โดยจะเห็นสัญญาณตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/51 จนถึง 1/52 โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ และจะทำให้ตลาดหุ้นไทยซบเซาลากยาวเช่นกัน รวมทั้งสภาพคล่องที่ลดลงอาจทำให้การออกกองทุนอสังหาริมทรัพย์ทำได้ยากขึ้นด้วย หรือเหลือเพียงเสนอขายในประเทศเท่านั้น”

สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยนั้น นายวิศิษฐ์ กล่าว่า การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 15 ธ.ค.51 นี้ น่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเหลือ 1% หรือ 1.5% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 2% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของไทยปรับลดลงเช่นกันอย่างน้อยน่าจะปรับลดลงประมาณ 0.25% ในต้นปีหน้า เพราะอัตราเงินเฟ้อของไทยยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง

“ขณะนี้คงไม่มีการลงทุนเกิดขึ้น เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ส่วนตลาดหุ้นเองมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยได้ลดลงต่ำกว่าหมื่นล้านบาท จากเดิมที่สูงเฉลี่ย 1.7 หมื่นล้านบาท และคาดว่าจะลากยาวไปอีก 4-5 เดือนข้างหน้า หรือต่ำสุดในไตรมาสแรกปี 51 แต่เมื่อทุกอย่างเห็นภาพชัดเจนแล้วตลาดหุ้นจะปรับตัวดีขึ้น เพราะฉะนั้นวิกฤติจึงเป็นโอกาสได้เหมือนกัน”

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี หุ้นหลายตัวให้ผลตอบแทนในรูปปันผลถึง 8-10% กำไรสุทธิของบจ.ยังเติบโตได้ดี โดยในปีนี้น่าจะเติบโตได้ในระดับ 24% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารเป็นหลัก แต่จากปัจจัยต่างๆ ที่ยังไม่เอื้อหากยังไม่มีความเชื่อมั่น แต่ต้องการลงทุนสามารถแบ่งการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 1-2 ปีในสัดส่วน 60% หุ้นที่มีเงินปันผลสูง 20% และหุ้นที่ราคาไม่ผันผวน 20%

ตลาดหุ้นเอเชียจับมือกันร่วง

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ได้ปรับตัวลดลงกันอย่างถ้วนหน้าจากปัญหาสถาบันการเงินในยุโรปที่เกิดขึ้น โดย ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดระดับต่ำกว่า 18,000 จุด ที่ 17,888.68 จุด ลดลงจากวันก่อนกว่า 801.41 จุด หรือ 4.29% โดยมีจุดต่ำสุดที่ 17,796.34 จุด และสูงสุดที่ 18,742.25 จุด

ขณะที่ดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นโตเกียว ปิดที่ 11,743.61 จุด ลดลงจากวันก่อน 149.55 จุด หรือ 1.26% ดัชนีสเตรทไทม์ ของสิงคโปร์ ปิดที่ระดับ 2,361.34 จุด ปรับลดลง 50.12 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 2.08% ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดที่ระดับ 1,019.72 จุด ปรับลดลง 0.81 จุด เปลี่ยนแปลง 0.1%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us