|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เอสเอสไอ ขยายธุรกิจสู่ตลาดเหล็กแผ่นไฮ-เอนด์ ทุ่มทุนเกือบ 3.5 พันล้านบาท ถือหุ้นใหญ่ “เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย” กว่า 50% พร้อมผนึกกำลังผู้ถือหุ้นเดิมชาวญี่ปุ่น “เจเอฟอี-มารูเบนิ” เชื่อมโยงอุตสาหกรรมขั้นกลางน้ำ-ปลายน้ำ เสริมความมั่นคงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน หวังสร้างความแข็งแกร่ง-ยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยให้ทัดเทียมผู้ผลิตที่สำคัญของโลก
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI เปิดเผยถึง ความคืบหน้าการลงทุนในบริษัท เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TCRSS ว่า ขณะนี้บริษัทได้ดำเนินการซื้อหุ้นของบมจ. เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย จากผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวญี่ปุ่น 2 ราย คือ บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น จำกัดเรียบร้อยแล้ว จำนวนทั้งสิ้น 335,790,500 หุ้น คิดเป็นจำนวนเงินลงทุนรวม 3,453,256,973.22 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทได้ใช้แหล่งเงินทุนจากการกู้ยืมสถาบันการเงินภายในประเทศ โดยการซื้อหุ้นครั้งส่งผลทำให้เอสเอสไอถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วนรวมทั้งสิ้น 50.15% บริษัท เจเอฟอี สตีล คอร์ปอเรชั่น จำกัด 22.4% บริษัท มารูเบนิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด 22.2% ส่วนที่เหลือเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อย
นายวิน กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมความมั่นคงทางด้านปริมาณการผลิต และการตลาดของเอสเอสไอให้มีช่องทางในการกระจายสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มมากขึ้น และมีความยั่งยืนในระยะยาว อีกทั้งสามารถร่วมกับบมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทยบริหารจัดการการจัดซื้อวัตถุดิบ สินค้าคงคลัง และการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลง ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขัน
“การบริหารงานภายใต้ผู้ถือหุ้นหลักทั้ง 3 รายนั้น เอสเอสไอจะเพิ่มบทบาทในการบริหารจัดการ บมจ.เหล็กแผ่นรีดเย็นไทยมากขึ้น ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ชาวญี่ปุ่นทั้งสองรายคือ เจเอฟอี และมารูเบนินั้น ยังคงให้การสนับสนุนทั้งในด้านเทคโนโลยี การเงิน การตลาด การส่งเสริมการขาย ตลอดจนการวิจัยและพัฒนา เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง”
ขณะเดียวกันลูกค้าทั้งในส่วนของเอสเอสไอ และบมจ. เหล็กแผ่นรีดเย็นไทย รวมถึงลูกค้ารายใหม่จะได้รับผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพมาตรฐานที่ขยายขอบข่ายครอบคลุมถึงกันเพิ่มมากขึ้น ภายใต้ความร่วมมือในการบริหารจัดการที่เปี่ยมประสิทธิภาพของทั้งสองบริษัท ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในธุรกิจของลูกค้าให้ยั่งยืนและนับได้ว่าเป็นการทำธุรกิจที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน
สำหรับการลงทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับอุตสาหกรรมเหล็กของไทยให้เป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน และทัดเทียมประเทศผู้ผลิตเหล็กรายสำคัญของโลก เนื่องจากการลงทุนของเอสเอสไอในโครงการต่อเนื่องต่างๆ ในอุตสาหกรรมเหล็กแผ่น อาทิ เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบ ท่าเรือน้ำลึกสำหรับขนส่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ รวมถึงธุรกิจวิศวกรรมบริการ จะเกิดการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กทรงแบนที่มีขบวนการผลิตต่อเนื่องในแนวดิ่งจากขั้นกลางน้ำถึงขั้นปลายน้ำ ทำให้ฐานการผลิตของกลุ่มบริษัทฯ ที่อำเภอบางสะพานกลายเป็นฐานการผลิตเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษ (High-end) ครบวงจรแห่งเดียวในภูมิภาค
“ตลาดเหล็กแผ่นชั้นคุณภาพพิเศษในอาเซียนยังมีแนวโน้มการเติบโตที่สูง และอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี สินค้าของเอสเอสไอมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมพัฒนามาตรฐานการครองชีพในหลายด้าน อาทิ การพลังงาน การคมนาคม ภาชนะและบรรจุภัณฑ์ อุปกรณ์ไอที เฟอร์นิเจอร์ และ เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งการบริโภคจะเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปกับมาตรฐานการครองชีพที่ดีขึ้นของประเทศต่างๆ ในอาเซียน” นายวิน กล่าว
|
|
|
|
|