|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหุ้นไทยซึมรอลุ้นมาตรการแก้วิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ มูลค่าการซื้อขายแค่ 8.5 พันล้านบาท ขณะที่ “ภัทรียา” เอ็มดีตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังทีมเศรษฐกิจร่วมมือวิกฤตการเงิน ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก พร้อมชงข้อมูลให้ขุนคลังคนใหม่ใช้ประกอบการตัดสินใจ ระบุ “มอร์แกนฯ – โกลด์แมนฯ” ทิ้งหุ้น 5 หมื่นล้านบาท ไม่กระทบตลาดหุ้นไทย ด้านโบรกเกอร์แนะชะลอซื้อขายหุ้น ผลมาตรการของสหรัฐฯ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (25 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นลงในกรอบแคบๆ ทั้งแดนบวกและแดนลบ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบเหงา เพื่อรอดูทิศทางตลาดหุ้นในภูมิภาค รวมถึงความชัดเจนของมาตรการบรรเทาวิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศยังไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก
โดยดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 621.35 จุด ต่ำสุด 612.30 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 612.12 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนเล็กแค่ 0.71 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.11% มูลค่าการซื้อขายรวม 8,569.11 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง คณะรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจชุดใหม่ ว่า บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน ซึ่งจะสามารถดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจการเงินของประเทศได้ ทั้งนี้ การแก้ไขเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง อุตสาหกรรม พาณิชย์ และเกษตร เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทย และสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน
ขณะเดียวกัน จะต้องมีการติดตามมาตรการแก้ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐอเมริกา จะมีผลอย่างไร รวมทั้งจะต้องพิจารณาถึงภาพรวมเศรษฐกิจ เช่น เรื่องอัตราการขยายตัวของจีดีพี อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน รวมถึงนโยบายการลงทุนของภาครัฐ
สำหรับประเด็นที่ต้องการให้ทางกระทรวงการคลังมีการสนับสนุนในด้านตลาดทุนนั้น ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รายงานเรื่องผลกระทบจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐฯ ซึ่งทางกระทรวงการคลัง และรัฐบาลต่างประเทศจะต้องติดตามดูปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับสถาบันการอย่างใกล้ชิด รวมทั้งหวังว่า มาตรการของสหรัฐฯ จะช่วยบรรเทาปัญหาหรือส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด
นางภัทรียา กล่าวว่า การหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง วานนี้ (25 ก.ย.) เพื่อระดมความเห็นเกี่ยวกับวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น เพื่อประเมินสถานการณ์และเตรียมความพร้อมในการรับมือหากมีปัจจัยลบเข้ามากระทบต่อไทย โดยทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำเสนอข้อมูลเชิงเปรียบเทียบตลาดหุ้นไทยกับตลาดหุ้นภูมิภาค
ขณะเดียวกัน ได้นำเสนอข้อมูลเรื่องการดูแลการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งในเรื่องความเสี่ยงของบริษัทหลักทรัพย์ ในด้านการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) ซึ่งพบว่ายังไม่น่าเป็นห่วง และมีสัดส่วนที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2540 ขณะที่การทำซอร์ตเซล ก็มีไม่มากนัก โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีมาตรการดูแลที่เข้มงวดและหุ้นที่สามารถขายชอร์ตได้มีเพียง 10 หลักทรัพย์ในดัชนี SET 50 เท่านั้น
นางภัทรียา กล่าวว่า จากการที่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังมีการเปลี่ยนแปลงจากนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เป็น นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเชิญนายสุชาติ เข้ามาเป็นประธานคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทย แต่คณะอนุกรรมการที่ตั้งมา 2 ชุดนั้น ยังคงดำเนินงานต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าการจัดทำแผนพัฒนาตลาดทุนไทยน่าจะเสร็จภายในปีนี้ได้ แต่ในเรื่องเป้าหมายของมาร์เกตแคปตลาดหุ้นไทยจะเป็น 1 เท่าของจีดีพี นั้นก็อาจจะต้องมีการประเมินอีกครั้งหนึ่งว่าจะสามารถทำได้หรือไม่
ส่วนผลกระทบจากวิกฤตการเงินสหรัฐฯ ได้ส่งผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงนั้น นางภัทรียา กล่าวว่า จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงอาจจะทำให้มีการควบรวมกิจการของบริษัทจดทะเบียนมากขึ้น แต่คิดเป็นสัดส่วนที่ไม่มากนัก เพราะมีขั้นตอนที่ใช้ระยะเวลานาน ในการโอนสินทรัพย์ระหว่างกัน ติดเรื่องกฎหมาย ซึ่งทางคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยก็ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพื่อที่จะส่งเสริมให้เกิดการควบรวมกิจการมากขึ้นเพื่อที่จะทำให้บริษัทมีความแข็งแรง
สำหรับกรณีที่บริษัท มอร์แกน สแตนเลย์ และโกลด์ แมนแซคส์ จะขายเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยออกมาประมาณ 50,000 ล้านบาทนั้น คงจะไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนมากนัก เพราะเป็นสัดส่วนที่ต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป) รวมทั้งเชื่อว่าจะมีนักลงทุนรายใหม่เข้าไปรับซื้อ หากมีการขายหุ้นออกมาจริง เพราะทั้ง 2 บริษัทเข้าไปลงทุนส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีปัจจัยพื้นฐานดี
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงเช้าได้ปรับตัวลดลงจากกระแสข่าวว่า สภาครองเกส สหรัฐฯ ไม่อนุมัติมาตรการบรรเทาวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ แต่ช่วงบ่ายได้รับแรงหนุนจากการที่ธนากลางของอังกฤษและออสเตรเลีย อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเงิน ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยจะยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบๆ โดยมีแนวรับที่ 612 จุด และแนวต้าน 630 จุด ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามผลของมาตรการแก้ปัญหาสถาบันการเงินของสหรัฐฯ
นางจิตติมา อังสุวรรังษี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายที่ปรึกษาการลงทุน บล. ฟาร์อีส จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างซบเซา เพราะยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระตุ้นตลาด ขณะที่แนวโน้มวันนี้ตลาดหุ้นจะยังคงเงียบเหงา เนื่องจากนักลงทุนต่างรอผลของมาตรการแก้วิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ในการอัดฉีดเงิน 7 แสนล้านบาท โดยมีแนวรับที่ 607-614 จุด และแนวต้านที่ 625-605 จุด ดังนั้นนักลงทุนชะลอการลงทุนออกไปก่อน
|
|
|
|
|