5 หน่วยงานหลักด้านเศรษฐกิจถกวิกฤตการเงินสหรัฐ ยันยังไม่มีสัญญาณกระทบเศรษฐกิจไทยรุนแรง แต่พร้อมเฝ้าระวังหากลุกลาม ธปท.จะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ ธาริษาเผยแบงก์พาณิชย์ไทยกู้เลห์แมน 3.6 พันล้านเหรียญ (122,400 แสนล้านบาท) ลุ้นสภาคองเกรสผ่านเงินอัดฉีด 7 แสนล้านเหรียญกู้วิกฤตเลห์แมนลดผลกระทบลุกลามโลก ขณะที่ “มิ่งขวัญ” บอกห่วงวิกฤติครั้งนี้ฉุดภาคลงทุนชะลอ บิ๊กเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์แจงร่วมทุนเอไอจีไร้ปัญหา
วานนี้ ที่กระทรวงการคลังได้มีการประชุมคณะกรรมการติดตามประสานงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภาวะฉุกเฉิน ประกอบด้วย 5 หน่วยงานคือ กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)
นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการเปิดเผยภายหลังการหารือว่า จากการวิเคราะห์โดยละเอียดของหน่วยงานทั้ง 5 จะพบว่าสถานการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และจากการที่สภาคองเกรสประชุมเพื่อพิจารณาผ่านงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยจำนวน 7 แสนล้านเหรียญถือเป็นการเข้ามาแก้ปัญหาวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างจริงจังและชัดเจนจากก่อนหน้าที่รัฐบาลสหรัฐได้แก้ปัญหาซับไพรม์ ธนาคารกลางสหรัฐให้เอไอจีกู้ยืมเงินเพื่อเสริมสภาพคล่อง จะมีบทบาทยับยั้งการลุกลามวิกฤติที่เกิดขึ้นในสหรัฐและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั่วโลก
โดยในระบบสถาบันการเงินมีหารกู้ยืมเงินจากเลห์แมนฯ เพียงเล็กน้อย ธุรกิจประกันก็ไม่มีผลกระทบ ขณะที่ตลาดทุนนั้นก.ล.ต.และ ตลท.ได้รายงานว่าดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงเป็นไปตามทิศทางของภูมิภาค ซึ่งเงินที่ต่างชาติขายออกสุทธิในปริมาณที่สูงนั้นส่วนมากเป็นการปรับพอร์ตเพื่อลงทุนในตลาดตราสารหนี้แทนยังไม่ได้มีการขนเงินออกจนเป็นที่น่าตกใจแต่อย่างใด
“น่าจะสบายใจได้แล้วกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งสิ่งที่จะทำต่อไปคือการเตรียมเครื่องมือไว้รองรับหากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น” นายศุภรัตน์กล่าว
ธปท.พร้อมอัดฉีดสภาพคล่อง
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า ธปท.ได้ติดตามการเข้าไหลเข้าออกของเงินทุนในตลาดต่างๆอย่างใกล้ชิดพบว่ามีเพียงเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีปริมาณมาก และสัดส่วนหนี้ต่างประเทศที่มีอยู่ในปัจจุบันมีสัดส่วนที่ต่ำเพียง 30% ของจีดีพี ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะยาวโดยมีหนี้ระยะสั้นเพียง 38%ของจำนวนหนี้ทั้งหมดแม้ว่าเงินจะไหลออกก็สามารถรองรับสถานการณ์ได้ซึ่งแสดงถึงสถานความแข็งแกร่งทางการเงินของประเทศ
สำหรับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสถาบันการเงินทั้งระบบพบว่ามีธนาคารพาณิชย์มีการกู้ยืมเงินจากเลห์แมนฯ เพียง 3.6 พันล้านเหรียญ เท่านั้น (122,400 แสนล้านบาท ณ อัตราแลกเปลี่ยน 34 บาทต่อดอลลาร์) ถือว่าเป็นระดับที่น้อยมากเมื่อเทียบกับเงินในระบบธนาคารพาณิย์ทั้งหมดกว่า 8 ล้านล้านบาท ขณะที่การลงทุนในตราสารประเภทCDOก็มีเพียง 0.36% ของสินทรัพย์รวมทั้งระบบเท่านั้นและที่สำคัญอย่างยิ่งคือค่าเงินที่ไม่มีการอ่อนค่าลงซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าวิกฤตครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินไทย
“เราจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดหากมีความจำเป็นก็จะนำเครื่องมือที่มีอยู่ม่ใช้เพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งหากมีความจำเป็นที่แบงก์ชาติต้องเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินก็อาจใส่สภาพคล่องเข้าไปในสถาบันการเงินนั้นๆ เพื่อให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้ โดยอาจออกมาตรการช่วยเหลือสถาบันการเงินออกมาเป็นแพ็กเกจเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น” นางธาริษากล่าว
มิ่งขวัญห่วงฉุดลงทุนไทย
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีต รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยหลังการอำลาตำแหน่งกับผู้บริหารและข้าราชการประจำกระทรวงอุตสาหกรรมวานนี้ (25 ก.ย.) ว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือภาวะการลงทุนในประเทศที่อาจจะชะลอตัวลงเนื่องจากวิกฤติการเงินสหรัฐซึ่งจากการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอระบุว่าการดึงดูดเงินจากต่างประเทศจะมีการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาก ดังนั้นคงต้องฝากให้รัฐมนตรีคนใหม่สานต่อในเรื่องของการดูแลภาพรวมอุตสาหกรรมเพราะเป็นส่วนประกอบสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ
“บีโอไอถือเป็นหน่วยงานที่จะดึงเม็ดเงินการลงทุนเข้าประเทศ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหรือ ส.อ.ท.ที่มีสมาชิกกว่า 30 อุตสาหกรรมคงต้องฝากไว้ในการช่วยกันดูแล ต้องทำงานกันเป็นทีมและวางเป้าหมายให้ชัดเจนเพราะเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญทั้งปัจจัยภายในเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองและภายนอกคือเศรษฐกิจโลกทุกฝ่ายคงต้องทำงานหนักมากขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะการลงทุนเท่านั้น การส่งออกก็จะต้องดูแล รวมไปถึงปัญหาเงินเฟ้อทุกอย่างเกี่ยวข้องกันหมด” นายมิ่งขวัญกล่าว
ทั้งนี้สิ่งที่ตนเคยกล่าวไว้ในช่วงหาเสียง ซึ่งยังไม่ได้ทำและต้องขออภัยประชาชนที่ยังไม่มีโอกาสได้ทำคือการผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยาเพื่อต้องการให้ไทยเป็นแหล่งผลิตยาสำคัญของโลก การตั้งเมืองมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ แต่โอกาสทางการเมืองไม่เอื้ออำนวย ไว้มีโอกาสจะทำตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่พิจารณาดำเนินการต่อด้วย เช่นเดียวกันการส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมชายแดน
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ภาวะการลงทุนในปี 2552 มีแนวโน้มจะชะลอตัวจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยจากผลพวงวิกฤติการเงินสหรัฐฯ โดยคาดว่าตัวเลขการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนผ่านบีโอไอจะใกล้เคียงกับปี 2551 คืออยู่ในระดับ 3-4 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตามรัฐบาลใหม่มาคงจะต้องฝากให้ดูแลในเรื่องของการอนุมัติการส่งเสริมฯที่ขณะนี้ยังค้างพิจารณาอยู่นับแสนล้านบาท
“ บอร์ดบีโอไอที่ผ่านมายังไม่ได้มีการแต่งตั้งประธานทำให้คณะอนุกรรมการฯที่พิจารณาให้การส่งเสริมฯไม่สามารถอนุมัติได้เบื้องต้นมีมูลค่ารวมกันถึงแสนล้านบาทจึงเห็นว่าจุดนี้คงจะต้องเร่งมาพิจารณา” นายจักรมณฑ์กล่าว
MJDยันร่วมทุนAIGไร้ปัญหา
นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า จากกรณีที่ บริษัทเลห์แมน บราเธอร์ส เข้าสู่ภาวะล้มละลาย และมีความเป็นไปได้ที่จะทยอยเรียกเงินลงทุนจากธุรกิจอสังหาฯไทยที่เข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ กลับคืนไปช่วยเหลือบริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกานั้น เชื่อว่า กรณีดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ หรือหากจะกระทบก็คงเป็นเพียงระยะสั้น เนื่องจากวิกฤตในครั้งนี้ เป็นผลกระทบมาจากปัญหาวิกฤติสินเชื่อด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ในสหรัฐฯ ไม่ได้มาจากปัญหาในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ในไทย ประกอบกับกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ยังคงมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทเมเจอร์ฯ ก็ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของภาวะวิกฤตการเงินสหรัฐฯ รวมถึงการที่ บริษัท เอไอจี โกลบอล เรียลเอสเตท อินเวสต์เม้นต์ (AIG) ที่อเมริกาประสบปัญหาทางด้านการเงินนั้น ก็ไม่มีผลกระทบกับการลงทุนในคอนโดฯ โครงการ ร๊อยซ์ ไพรเวท เรซิเดนชิซ สุขุมวิท 31 ที่มีมูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง MJD กับ AIG อย่างแน่นอน เนื่องจาก AIG ได้ลงทุนเงินครบถ้วนแล้ว
" มั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะทำได้ตามแผนที่วางไว้ ไม่มีปัญหาเรื่องเงินทุน เพราะ AIG ลงทุนมาเกือบครบแล้ว นอกจากนี้ ยังได้รับการอนุมัติวงเงินกู้แล้วจากธนาคารทิสโก้ จำนวน 1,000 ล้านบาท เรียบร้อยแล้ว ในปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำเสาเข็ม ดำเนินงานโดยบริษัท ซีฟโก้ " นายสุริยนกล่าวและระบุถึงแนวโน้มรายได้ในปีนี้ว่า จะเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยเติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 2,198 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรก สามารถทำรายได้แล้ว จำนวน 1,298.49 ล้านบาท และขณะนี้บริษัทฯ มียอดขายที่รอรับรู้รายได้ในปีนี้และปีถัดไป (Backlog) ประมาณ 5,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการในเมืองท่องเที่ยว ได้แก่ โครงการ มาราเกซ หัวหิน มูลค่า 3,000 ล้านบาท และโครงการรีเฟคชั่น จอมเทียน บีช พัทยา มูลค่า 3,300 ล้านบาท ทางบริษัทมีแผนจะนำคอนโดฯไปโรดโชว์ขายให้แก่นักลงทุนในต่างประเทศ ทั้งสิงคโปร์ และฮ่องกง
|