Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน24 กันยายน 2551
ทิสโก้มั่นใจต่างชาติรีเทิร์น เก็บหุ้นบิ้กแคปราคาถูกรอ             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด

   
search resources

ทิสโก้, บลจ.
Investment




บลจ.ทิสโก้ แจงลูกค้าไม่ห่วงวิกฤตการเงินแดนมะกัน เหตุกองทุนส่วนใหญ่เน้นลงทุนในเอเชีย แปซิฟิกเป็นหลัก ระบุแม้ผลกระทบจะฉุดตลาดหุ้นรุด แต่พื้นฐานแกร่ง น่าลงทุน บริษัทจดทะเบียนยังมีกำไรต่อเนื่อง ด้านเงินลงทุนต่างชาติ มั่นใจกลับเข้าเอเชียได้อีก หลังเหตุการณ์จบสมบูรณ์ แต่ประเมินจะไม่รุนแรงเหมือนเดิม เพราะจะเข้ามาแล้วขายออกไป เพื่อชดเชยส่วนที่ขาดทุนไปก่อนหน้านี้ให้จบก่อน เผยกลยุทธ์ จับทางช้อนซื้อหุ้นบิ้กแคปราคาถูกรออานิสงส์ต่างชาติ

นายธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา จนส่งผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกนั้น ในส่วนของลูกค้าที่ลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ (เอฟไอเอฟ) ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทไม่กังวลมากนัก เพราะกองทุนส่วนใหญ่เน้นลงทุนในเอเชีย แปซิฟิกเป็นหลัก ซึ่งหากไม่นับปัญหาสภาพคล่องที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ถือว่าปัจจัยพื้นฐานของประเทศเหล่านี้ยังดีอยู่ แต่สาเหตุที่มีการขายออกมาค่อนข้างมาก เนื่องจากนักลงทุนต้องการเงินสด ส่วนหนึ่งเพื่อนำไปชดเชยการขาดทุน แต่ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานของประเทศแต่อย่างใด

นอกจากนี้ อีกหนึ่งสาเหตุที่ลูกค้าไม่กังวล เนื่องจากตลาดหุ้นของกลุ่มประเทศเอเชีย แปซิฟิก ไม่รีเลทกับไฟแนนซ์เชียลมาร์เกตโดยตรง แต่ถ้าเราออกกองทุนที่เกี่ยวข้องกับสถาบันการเงินในประเทศสหรัฐ หรือยุโรป อาจจะน่าเป็นห่วงมากกว่า ซึ่งตลาดหุ้นเอเชีย แปซิฟิก ต่อให้เป็นเซกเตอร์แบงก์โดยเฉพาะในตลาดจีนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ผลประกอบการที่ออกมาส่วนใหญ่ก็ยังมีกำไรทุกไตรมาส เช่นเดียวกับหุ้นไทย ที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังออกมาดี ดังนั้น ในแง่ของปัจจัยพื้นฐานเราจึงไม่ห่วง ขณะเดียวกัน อะไรที่ปรับลดลงไปมาก ก็มีโอกาสที่จะรีบาวน์กลับขึ้นมาได้เร็วกว่าด้วย

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลต่อมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (เอ็นเอวี) ของกองทุนบ้าง แต่ทุกครั้งที่ตลาดปรับลดลง ก็จะมีนักลงทุนส่วนหนึ่งขายออกไป และนักลงทุนส่วนหนึ่งที่เห็นโอกาสเข้ามาลงทุนเพิ่มด้วย ซึ่งเหตุการที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบรุนแรงกับตลาดหุ้นเอเชียหากเทียบกับตลาดหุ้นในยุโรปหรืออเมริกา เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้านักลงทุนไม่กลัวตลาดหุ้นเอเชียก็ถือว่ายังน่าลงทุนอยู่

ทั้งนี้ มองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะยังไม่หยุดแค่นี้ แต่จะมีจุดเปลี่ยนที่สำคัญ นั่นคือ ตลาดหุ้นเอเชียจะแยกจากกันระหว่างตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นก็ต่อเมื่อตลาดเอเชียยังสามารถประกาศผลประกอบการออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปัจจุบัน ถึงแม้ตลาดหุ้นอเมริกาจะได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่ถ้าดูราคาแล้วยังถือว่าแพงอยู่ และยังไม่รู้ว่าเหตุการณ์จะจบเมื่อไหร่ ในขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียถูกเทขายจนถึงจุดที่ต่ำที่สุดไปแล้ว แต่ก็ยังประกาศกำไรออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนว่าตลาดหุ้นเอเชียยังน่าสนใจกว่า

"ยอมรับว่าลูกค้ากังวลใจพอสมควร แต่ถ้าอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจแล้ว จะไม่ค่อยกังวลมาก ประกอบกับสไตล์การลงทุนของเรา เป็นการลงทุนในอินเด็กซ์ฟันด์ด้วย เราไม่ได้อวดเก่งว่าเราเลือกหุ้นเอง ซึ่งมีโอกาสพลาดเยอะ แต่การลงทุนในอินเด็กซ์ฟันด์ ก็เป็นการลงทุนในหุ้นที่ดีที่สุดของตลาด มีมูลค่าตลาดสูง สภาพคล่องสูง พื้นฐานไม่เปลี่ยน สำหรับจีนเอง ปัญหาเงินเฟ้อก็ปรับตัวลดลงแล้ว รัฐบาลจีนเองก็มีแนวโน้มจะปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นจีนเอง ของไทยเองก็มีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยลงปีหน้าเช่นกัน ซึ่งการที่ตลาดหุ้นเอเชียลงหนักก่อนที่จะมีวิกฤตการเงินนั้น เป็นผลมาจากปัญหาเงินเฟ้อ แต่พอกำลังเริ่มฟื้นกลับมาเจอปัญหาดังกล่าวก่อน"นายธีรนาถกล่าว

ส่วนกระแสเงินลงทุนต่างชาตินั้น นายธีรนาถกล่าวว่า หากปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด คลี่คลายและจบสมบูรณ์ไปแล้ว เชื่อว่าเงินลงทุนต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในเอเชียแน่นอน ซึ่งหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงธนาคารกลางของอีกหลายประเทศ ออกมาตรการช่วยเหลือด้วยการอีดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบสภาพคล่อง ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ตอบรับเห็นได้จากตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวน์กลับขึ้นมาทันที อย่างไรก็ตาม การกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาตินั้น จะไม่รุนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา เพราะอาจจะเห็นการเข้ามาแล้วขายออกไป เพื่อนำไปชดเชยส่วนที่ขาดทุนไปก่อนหน้านี้ให้จบก่อน ในขณะเดียวกัน จะเห็นการเข้ามาลงทุนของกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (SWF) มากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาซื้อบริษัทที่มีปัญหาสภาพคล่องรุนแรง

"ปีหน้าเศรษฐกิจทั่วโลกไม่ดีแน่นอน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่ไม่น่าจะเห็นการขยายตัวแล้ว ต่างกับกลุ่มประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะจีน ยังโตอยู่ ขณะเดียวกัน P/E ก็อยู่ในระดับที่ถูกกว่า ดังนั้น จึงน่าจะเห็นเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาลงทุนในเอเชียอีกครั้ง ซึ่งภูมิภาคของเราเองไม่ต้องการเงินมากมายอะไร แค่เขากระจายเข้ามาลงทุนไม่กี่แสนล้าน ก็สามารถหนุนให้ดัชนีหุ้นในภูมิภาคปรับขึ้นมาได้อีกครั้ง"นายธีรนาถกล่าว

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของบลจ.ทิสโก้ ปัจจุบันกองทุนหุ้นส่วนใหญ่ มีสัดส่วนการถือหุ้นเต็มพอร์ตประมาณ 95% โดยเหลือสภาพคล่องไว้รองรับการไถ่ถอนประมาณ 5% ซึ่งที่ผ่านมา เราทยอยเพิ่มสะสมหุ้นเข้ามาในพอร์ตอย่างต่อเนื่อง หลังจากเราลดน้ำหลักลงในช่วงที่ดัชนีอยู่สูงกว่า 800 จุด โดยหุ้นที่ลงทุนเพิ่มส่วนใหญ่ เป็นหุ้นบิ้กแคปขนาดใหญ่ที่ราคาปรับลดลงมามากๆ จนมีราคาถูก เพราะเชื่อว่าหากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง ส่วนใหญ่จะให้ความสนใจกับหุ้นบิ้กแคปเป็นหลัก ดังนั้น ถ้านักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน ก็จะทำให้เราได้อานิสงส์ไปด้วย   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us