Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน19 กันยายน 2551
ตลาดหุ้นผันผวนหนัก             
 


   
search resources

Stock Exchange




ตลาดหุ้นไทยสุดสวิง เช้าดิ่งลงลึกกว่า 35 จุด จากวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ บานปลาย ก่อนจะดีดกลับในช่วงบ่าย เหตุนักลงทุนคลายความวิตก หลังธนาคารกลางทั่วโลกประกาศอุ้มธนาคารในประเทศด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบการเงิน หนุนดัชนีปิดที่ 600.38 จุด ลดลงแค่ 4.76 จุด ขณะที่นักลงทุนสถาบันโดดอุ้ม ยอดซื้อสุทธิเฉียด 1 พันล้านบาท สวนทางต่างชาติทิ้งต่อ 1.1 พันล้านบาท ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ เชียร์ซื้อนักลงทุนซื้อหุ้นถูก พร้อมเสนอรัฐบาลร่วมลงขันจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น

บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวผันผวนค่อนข้างแรงในแดนลบตลอดทั้งวัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกต่อวิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐฯ จะลุกลามและบานปลายออกไป หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ อันดับ 4 ของสหรัฐฯ ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย จนส่งผลต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลก

ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลงอย่างรุนแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขายในช่วงเช้า โดยปรับตัวลดลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 569.94 จุด หรือลดลงจากวันก่อนถึง 35.20 จุด จากนั้นจึงได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย แต่ในช่วงบ่ายตลาดเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ทั่วโลกประกาศอัดฉีดเงินเข้าระบบเพื่อบรรเทาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น รวมทั้งทางการของไทยด้วย

จากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นทันทีและรวดเร็ว โดยดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวสูงสุดที่ 602.75 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับ 600.38 จุด ลดลงจากวันก่อนแค่ 4.76 จุด หรือคิดเป็น 0.79% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,762.62 ล้านบาท

ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดขายสุทธิรวม 1,133.87 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 994.92 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 138.94 ล้านบาท

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ช่วงเช้าวานนี้ (18 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ปรับตัวลดลงแรงเช่นกัน จากปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ใน 2 วันนี้ปรับตัวลดลงรวมเกือบ 1,000 จุด ซึ่งลดลงแรงกว่าเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิล์ดเทรด รวมทั้งกดดันให้นักลงทุนทั่วโลกตื่นเทขายหุ้นหันมาถือเงินสดแทน เพื่อความความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมทั้งได้นำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เห็นได้จากผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น

"ดัชนีหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลดลงประมาณ 5% จากแรงเทขายหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ แต่นักลงทุนไทยไม่ควรตื่นตกใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และถือเป็นจังหวะที่ดีที่นักลงทุนรายย่อยจะเข้ามาทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดี หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีมากแล้ว โดยเฉพาะผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่า 10% สูงกว่าการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ แต่นักลงทุนเองจะต้องพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ"

ฝรั่งคงเหลือเม็ดเงินในตลาดหุ้น 1.5 แสนล.

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงเช้าปรับตัวลดลงมามาก เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกกับปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ ที่ลุกลามมากขึ้น ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันตลาดหุ้นภูมิภาค แต่ช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวดีขึ้น หลังจากนักลงทุนหายตกใจกับเหตุการณ์ และเห็นว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากแล้วจึงได้กลับเข้ามาลงทุนซื้อหุ้นอีกครั้ง

ทั้งนี้ จากการสำรวจการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศในตลาดหุ้นไทยย้อนหลังช่วง 9 ปีที่ผ่านมา ถึงปัจจุบัน (ปี 2542 -2551) พบว่า ขณะนี้ยังมียอดซื้อสุทธิเหลืออยู่จำนวน 150,000 ล้านบาท แม้ในช่วงตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้มียอดขายสุทธิออกมาแล้วกว่า 122,000 ล้านบาท ทำให้ยังมีเม็ดเงินต่างชาติในตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่สูง

"แม้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยปีนี้จำนวนมาก แต่หากย้อนดูตัวเลข 9 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้นักลงทุนต่างชาติยังมีการซื้อสุทธิหุ้นไทยเหลือ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขเฉพาะการซื้อขายหุ้น แต่ตัวเลขการลงทุนโดยตรงในการถือหุ้นในบริษัทจดทะเบียนยังคงมีอยู่ถึง 30% ของมูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เกตแคป)"นายภัทรียา กล่าว

เสนอรัฐร่วมลงขันกองทุนพยุงหุ้น

สำหรับการหารือกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่าที่นายกรัฐมนตรี นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้งกองทุนแมทชิ่งฟันด์ขึ้นมาเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทย และหากรัฐบาล หรือภาคเอกชน มีเงินเหลืออาจจะนำเงินมาจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในตลาดหุ้นไทยจากที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมามาก ซึ่งถือเป็นโอกาสที่จะเข้ามาลงทุน

"รัฐบาลได้รับเรื่องการจัดตั้งกองทุนไว้พิจารณา แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะรัฐบาลยังมีภาระในเรื่องการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต่างๆ"

ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนหนัก

นายอริยะ บุญยรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล. )ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ ประกาศจะให้ความเช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ของแต่ละประเทศในรูปแบบเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและรองรับปัญหาที่ธนาคารพาณิชย์จะขาดสภาพคล่องทางการเงิน ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเฉพาะธนาคารกลางของญี่ปุ่น ที่ไม่เคยมีการให้ความช่วยเหลือธนาคารพาณิชย์ในประเทศมาก่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี และส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

"ช่วงบ่ายดัชนีตลาดหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังจากธนาคารกลางของประเทศต่างๆ เช่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น ยุโรป แคนนาดา และสหรัฐฯ ได้ประกาศจะเพิ่มสภาพคล่องให้กับแบงก์พาณิชย์ของตน เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี"

นายอริยะ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย ที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ขณะนี้นักลงทุนไม่ได้กลัวปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ กลับกังวลเรื่องบริษัทจดทะเบียนจะไม่มีการเติบโตของรายได้และกำไร ซึ่งเกิดขึ้นกับบจ.ในฝั่งตะวันตก สหรัฐฯ ขณะที่บริษัทจดทะเบียนไทยยังมีอัตราการเติบโตที่ดี จึงทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย

นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ (18 ก.ย.) ผวนอย่างหนัก โดยตลาดดิ่งลงไป 30 กว่าจุด ตามตลาดในต่างประเทศที่ประสบปัญหาสภาวะการเงินจากการที่ยักษ์ใหญ่วาณิชธนกิจอันดับ 4 ของสหรัฐประกาศล้มละลาย และค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2 ชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิดการซื้อขาย จากข่าวที่ธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะร่วมกันแก้ไขวิกฤตการเงินของโลก

โดยหลักทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสูงสุดจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน และธนาคารพาณิชย์ ทั้ง บมจ. ปตท (PTT) บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ. บ้านปู (BANPU) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงเทพ (BBL) เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทย วันนี้ (19 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นอาจจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยรับข่าวดีจากการร่วมแก้ไขปัญหาของธนาคารกลางทั่วโลก โดยให้แนวรับที่ 585 และแนวต้านที่ 625 จุด ดังนั้นนักลงทุนจะต้องติดตามแนวทางการแก้ไขวิกฤตสถาบันการเงิน รวมถึงสถาบันการเงินอื่นๆ ที่อาจจะประสบปัญหาเหมือนเลห์แมน บราเธอร์ส รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองภายหลังนายสมชาย วงสวัสดิ์ เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

นายชัย จิรเสวีนะประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยผันผวนอย่างหนักในแดนลบตลอดทั้งวัน สอดคล้องกับตลาดหุ้นในต่างประเทศ จากการประกาศล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส และทิศทางของสถาบันการเงิน AIG แต่ช่วงบ่ายมีแรงดีดกลับทำให้ดัชนีตลาดหุ้นติดลบน้อยลง หลังธนาคารกลางประเทศต่างๆ จะร่วมมือกันแก้ไขปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินที่กำลังขยายวงกว้างออกไป

ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ คาดจะผันผวนในกรอบแคบๆ โดยให้แนวรับที่ 580-585 จุด และแนวต้านที่ 615-620 จุด ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนจะเป็นกลุ่มพลังงาน ที่จะได้รับผลดีจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่มีปัจจัยบวกจากการแก้ไขวิกฤตการเงินโลก   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us