Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน17 กันยายน 2551
บลจ.เชื่อมั่นหุ้นไม่หลุด600จุด ลูกค้าเริ่มลงทุนเพิ่มเก็บของถูก             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อยุธยาเจเอฟ จำกัด - เอเจเอฟ

   
search resources

อยุธยาเจเอฟ, บลจ.
Funds




ผู้จัดการกองทุนระบุ แรงกดดันจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐ ไม่ฉุดดัชนีหุ้นไทยหลุด 600 จุด ชี้กระทบจิตวิทยาระยะสั้นเท่านั้น ลุ้นความชัดเจนทางการเมือง หนุนดัชนีรีบานด์ ระบุเป็นจังหวะที่ลงทุนได้ แต่ต้องจับจังหวะให้ดี ล่าสุดลูกค้าเริ่มทยอยลงทุนเพิ่ม มองเป็นโอกาสดีในการเก็บของถูกทั้งในไทยและภูมิภาคเอเชีย เพื่อรับผลตอบแทนที่สูง

นายฐนิตพงศ์ ชื่นภิบาล นักวิเคราะห์การลงทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด หรือ เอวายเอฟ กล่าวว่า สิ่งที่เกิดกับตลาดหุ้นไทยในวันนี้ เป็นผลกระทบจากจิตวิทยาจากปัญหาการล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส วานิชธนกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากพิจารณาดูแล้ว ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงในสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงมามากแล้วจากปัญหาการเมืองในประเทศ

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแรงกดดันจากความกังวลที่ว่าจะมีสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาอีกหลายแห่งประสบกับปัญหาสภาพคล่องตามมาอีกนั้น จะไม่ฉุดดัชนีตลาดหุ้นไทยลงไปต่ำกว่า 600 จุด และเชื่อว่ายังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับตลาดหุ้นไทย ซึ่งหลังจากนี้ ดัชนีน่าจะรีบาวน์กลับขึ้นมาได้ และหากบวกกับปัจจัยทางการเมืองมีความชัดเจนมากขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยสนับสนุนอีกทาง

“ผลกระทบกับตลาดหุ้นไทย เป็นแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งในช่วงนี้ จะยังเห็นการเทขายของนักลงทุนต่างชาติ เพื่อนำไปชดเชยผลกระทบเช่นเดียวกับประเทศอื่น แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าตลาดปรับลงไปมาก ก็จะส่งผลต่อแวลูเอชั่นของตลาด ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นจังหวะที่น่าลงทุน แต่ต้องจับจังหวะให้ดี เพราะเซนติเมนต์ของตลาดในตอนนี้ยังไม่ดี”นายฐนิตพงศ์กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนกองทุนที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศของเอวายเอฟ ไม่มีการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับเลห์แมน บราเธอร์ส แต่อย่างใด ซึ่งปัจจัยลบต่างๆ ที่ส่งผลต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้ ในส่วนของนักลงทุนเองมีการใส่เงินลงทุนเข้ามาเรื่อยๆ เพราะนักลงทุนเข้าใจว่า การที่ตลาดปรับลดลงนั้น มาจากสาเหตุอะไร ซึ่งในช่วงที่ตลาดแกว่งตัวเช่นนี้ นักลงทุนเองก็ต้องการหามืออาชีพเข้ามาช่วย

นายฐนิตพงศ์วิเคราะห์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเลห์แมน บราเธอร์ส ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย เพราะตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เราเองรวมถึงนักวิเคราะห์ต่างก็คาดการณ์กันแล้วว่า สถาบันการเงินในสหรัฐอเมิรกาจะได้รับผลกระทบจากปัญหาซับไพรม์ โดยเฉพาะสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่ออกมาโวยวายถึงผลกระทบของปัญหาดังกล่าว ซึ่งสถาบันการเงินเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาซับไพรม์จะยังไม่จบที่เลห์แมน บราเธอร์ส เท่านั้น แต่จะมีออกมาให้เห็นอย่างต่อเนื่องในเร็วๆนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นปัญหาของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ทั้งนั้น เพราะปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบในวงกว้าง

ทั้งนี้ การที่ตลาดเครดิตค่อนข้างขาดสภาพคล่องในปัจจุบัน เชื่อว่าจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อัดสภาพคล่องเข้ามาในระบบอย่างรุนแรงอีกครั้ง เช่นการปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ขณะเดียวกัน เชื่อว่าเฟอเองจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ถึงแม้จะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาโดยตรง แต่ก็เป็นการลดความรู้สึกของนักลงทุนต่อปัญหาดังกล่าว

ส่วนปัญหาสภาพคล่อง แน่นอนว่าคงลดลงทั่วโลก เพราะในหลายตลาดพอมีปัญหาเครดิตขึ้นมา ก็ทำให้การระดมทุนลำบอกขึ้น เพราะเงินออกมาในตลาดน้อย ซึ่งเรื่องนี้ ต้องอาศัยธนาคารกลางของแต่ละประเทศในการอัดฉีดเงินเข้ามาในระบบ

นายฐนิตพงศ์กล่าวต่อถึงแนวโน้มราคาน้ำมันว่า เร็วๆนี้ น่าจะเห็นราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากที่ผ่านมา ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ เราเคยคาดการณ์ไว้แล้วว่าราคาน้ำมันจะต้องปรับตัวลดลงตั้งแต่ปรับขึ้นไปที่ 130 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพราะถูกกำหนดโดยดีมานด์และซับพลาย ซึ่งเรามองว่าระดับราคาที่ 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลนั้น น่าจะเป็นระดับราคาที่เหมาะสม

ทั้งนี้ จากการรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์ในประเทศมีการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งรวมถึง CDO (Collateralised Debt Obligation) คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 1.02 แสนล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเพียง 1.3% ของเงินฝากทั้งระบบที่ 8 ล้านล้านบาท โดยสัดส่วนการลงทุนใน CDO ที่เกี่ยวข้องกับกับเลห์แมน บราเธอร์สนั้น มีมูลค่ารวมประมาณ 4,300 ล้านบาท และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ประมาณ 5,300 ล้านบาท

สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่มีการลงทุนใน CDO เช่น ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งคิดเป็นวงเงินประมาณ 3,500 ล้านบาท แต่ธนาคารกรุงเทพมีการกันเงินสำรองไว้แล้วเต็ม 100% ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีเงินลงทุนใน CDO ประมาณ 2,800 ล้านบาท ซึ่งมีการกันสำรองไว้เพียง 51% เท่านั้น

ในขณะที่ธนาคารกรุงไทย ออกมาเปิดเผยว่า มีสัดส่วนการลงทุนใน CDO ที่เกี่ยวข้องกับเลห์แมน บราเธอร์ส เพียง 1% ของ CDO ที่ถืออยู่ทั้งหมด

นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ยูโอบี (ไทย) เปิดเผยว่า ปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐที่ปะทุขึ้นมาอีกครั้งในกรณีของเลย์แมน บราเธอร์ส และยังมีสถาบันการเงินแห่งอื่นที่ยังทำท่าว่าจะมีปัญหาตามมาอีกนั้นไม่ได้ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ไถ่ถอนหน่วยลงทุนแต่ประการใด อย่างไรก็ตามผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกให้ปรับตัวลดลงมาซึ่งกองทุน FIF ของบริษัทเองก็ปรับตัวลงมาตามภาวะตลาดเช่นเดียวกัน และในช่วงนี้กลับมีลูกค้าเข้ามาลงทุนในกองทุนหุ้นมากขึ้นเพราะมองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนหลังจากที่ตลาดหุ้นไทยและในภูมิภาคปรับตัวลงมามาก ซึ่งการปรับตัวลงของตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทยเป็นผลกระทบทางอ้อมที่เกิดขึ้นในช่วงสั้นมากกว่า โดยเฉพาะในเอเชียและไทยน่าจะมีผลกระทบในวงจำกัด เพราะมีสถาบันการเงินที่ไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับเลย์แมน บราเธอส์ค่อนข้างน้อย ในส่วนของกองทุน FIF ของบริษัทก็ไม่มีการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวกับเลย์แมน บราเธอส์เลย

“แต่กรณีของเลย์แมน บราเธอส์ตลาดค่อนข้างประหลาดใจที่รัฐบาลปล่อยให้ล้มโดยไม่เข้ามาอุ้มเหมือนสถาบันการเงินที่มีปัญหาก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเลย์แมน บราเธอร์สเป็นบริษัทวาณิชธนกิจไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ซึ่งอาจจะมองว่ามีผลกระทบในวงกว้างน้อย อีกทั้งใกล้การเลือกตั้งของสหรัฐการจะนำเงินภาษีมาอุ้มสถาบันการเงินลักษณะนี้อาจจะดูไม่เหมาะนัก”   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us