|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ดัชนีตลาดหุ้นไทยดิ่งทำสถิติต่ำสุดในรอบ 20 เดือน ที่ระดับ 637.63 จุด เหตุวิกฤตซับไพรม์พ่นพิษทำให้ "เลห์แมน บราเธอร์ส" วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่อันดับ 4 สหรัฐฯ ต้องล้มละลาย ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกลดลงถ้วนหน้า บวกกับปัจจัยการเมืองในประเทศที่ยังไม่มีทางออก แม้ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน-สมัครลาออกแล้ว เพราะโผนายกฯ คนใหม่ยังมากจากพรรคพลังประชาชน ด้านโบรกเกอร์ แนะชะลอลงทุน จับตาปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ บานปลาย-การเมืองคุกรุ่น ส่วน ปตท. ถอดใจชะลอขายหุ้นกู้หมื่นล้าน
ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (15 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตลอดทั้งวันจากปัจจัยต่างประเทศ กรณีที่เลแมนห์ บราเธอร์ส วาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐฯ ประสบปัญหาขาดทุนจนต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย บวกกับปัจจัยการเมืองในประเทศไม่คลี่คลาย แม้จะยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) แต่การเสนอตัวแทนจากพรรคพลังประชาชนเข้ามาดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี จะยังคงเกิดกระแสความขัดแย้งต่อไป
จากปัจจัยดังกล่าวเป็นแรงกดดันดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงแตะระดับต่ำสุดที่ 640.03 จุด สูงสุด 652.07 จุด ก่อนจะปิดที่ 642.39 จุด ลดลง 11.95 จุด หรือลดลง 1.83 % ซึ่งถึงเป็นราคาปิดต่ำสุดในรอบเกือบ 20 เดือน นับจากวันที่ 11 มกราคม 50 ดัชนีปิดที่ 637.63 จุด มูลค่าการซื้อขายรวมทั้งวัน 7,453.57 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง คือมียอดขายสุทธิรวม 295.51 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 610.25 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 905.76 ล้านบาท
กลบกระแสยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST กล่าวว่า วานนี้ (15 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง จาก 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยต่างประเทศจากที่บาร์เคลย์ และแบงก์ออฟอเมริกา ยกเลิกการซื้อหุ้นขอ เลห์แมน บราเธอร์ส ทำให้เลห์แมน บราเธอร์ส ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ซึ่งส่งผลต่อระบบการเงินและอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ขณะที่ปัจจัยในประเทศที่ยังต้องติดตามสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะการหาบุคคลที่จะเข้ามาเป็นนายกฯ แม้จะเริ่มคลี่คลายไปบ้างแล้วหลังนายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงการประกาศยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
"ตลาดหุ้นไทยอาจจะได้รับผลดีจากการเมืองที่เริ่มคลี่คลาย แต่ต้องเจอปัญหาเรื่องเลห์แมนฯ ประสบภาวะล้มละลาย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงสถาบันการเงินสหรัฐฯ โดยทั้ง 2 ปัจจัยจะมีน้ำหนักต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเท่ากันๆ และมีผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนในตลาดหุ้นไทย" นายมนตรี กล่าว
จับตาแนวทางแก้ปัญหาของเฟด
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีบี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยทำจุดต่ำของปีนี้ โดยมีปัจจัยลบจากต่างประเทศที่คาดการณ์ปัญหาสถาบันการเงินสหรัฐฯ จะบานปลายมากยิ่งขึ้น หลังจากเลห์แมน บราเธอร์ส ล้มเหลวในการระดมทุน ทำให้ต้องเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย ขณะที่ทางการสหรัฐฯ เองไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือเหมือนกรณีของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค
"นักลงทุนกังวลว่าปัญหาเลห์แมนฯ จะส่งผลกระทบต่อระบบสถาบันการเงิน และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัว ซึ่งจะต้องติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ว่าจะมีแนวทางแก้ปัญหาสถาบันการเงินอย่างไร"
นางสาวสุภากร กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดหุ้นไม่ได้ขานรับปัจจัยในประเทศที่มีการยกเลิกพรก.ฉุกเฉิน และนายสมัคร ลาออกจาการเป็นนายกฯ เพราะปัญหาทางการเมืองยังไม่คลี่คลายจากที่ผู้ที่จะเข้ามานายกรัฐมนตรีคนใหม่ยังคงมาจากพรรคพลังประชาชน รวมถึงการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะก่อให้เกิดสถานการณ์ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ทำให้นักลงทุนชะลอดูความชัดเจนก่อน ขณะที่นักลงทุนต่างประเทศเองยังมียอดขายสุทธิต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้คาดว่าจะแหว่งตัวในกรอบแคบๆ ในทิศทางที่ปรับตัวลดลง จากปัจจัยทั้งสถานการณ์ต่างประเทศและปัจจัยทางการเมืองในประเทศ โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 632-655 จุด แนวต้านที่ระดับ 660 จุด
คาดตลาดหุ้นซบเซาต่อเนื่อง
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากการประกาศล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจยักใหญ่อันดับ 4 ของประเทศสหรัฐฯ ภายหลังขาดทุนสะสมและมีหนี้เสียในกลุ่มตราสารหนี้จำนวนมาก และส่งผลขยายวงกว้างกดดันตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวดลง
ขณะที่แนวโน้มดัชนีตลาดวันนี้ คาดว่าตลาดจะยังตกอยู่ในภาวะซบเซา โดยมีแนวรับที่ 630 จุด แนวต้านที่ 650-655 จุด เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อยู่ในขาลง รวมถึงการเมืองในประเทศที่ยังไม่คลีคลาย
ด้านนางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. บัวหลวง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การประกาศล้มละลายของเลห์แมน บราเธอร์ส ส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงานปรับตัวลดลง กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงลงอย่างรุนแรง รวมถึงการที่รัฐบาลเสนอนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้ามาเป็นนายกฯ ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ส่วนแนวโน้มวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงเงียบเหงา โดยให้แนวรับที่ 627จุด แนวต้านที่ 650 จุด โดยปัจจัยที่จะส่งผลกระทบคือ สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ภายหลังที่เลห์แมน บราเธอร์ส วาณิชธนกิจยักใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐประกาศล้มละลาย, ราคาน้ำมัน และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ดังนั้นนักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูความชัดเจน
ปตท.ชะลอออกหุ้นกู้1หมื่นล.
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้ตัดสินใจชะลอการออกหุ้นในกลุ่มเครือปตท.ในปีนี้ออกไปก่อนจนกว่าสถานการณ์การเมืองในไทยประเทศจะคลี่คลาย มีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีใหม่ ขณะเดียวกันตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ไม่ดี โดยล่าสุดเลห์แมน บราเธอร์ส ธนาคารเพื่อการลงทุนใหญ่เป็นอันดับ 4 ของสหรัฐประสบปัญหาล้มละลายจึงต้องยื่นเรื่องขอพิทักษ์ทรัพย์สินภายใต้กฎหมายล้มละลายของสหรัฐ ทำให้การระดมทุนในตลาดต่างประเทศทำได้ยากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติในตลาดหุ้นไทยอาจจะหาได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีนี้บริษัทฯจะชะลอการออกหุ้นกู้ ก็ไม่กระทบฐานะการเงิน เนื่องจากในเครือปตท.มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งตามแผนในปลายปีนี้ กลุ่มเครือปตท.จะออกหุ้นกู้วงเงินรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่สูงมาก โดยบริษัทฯอาจหันมากู้ยืมระยะสั้นในรูปสกุลเงินบาทผ่านสถาบันการเงินในประเทศแทน
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า การยกเลิกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ จะส่งผลดี ทำให้นักลงทุนสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยได้ และในวันที่ 17 ก.ย.นี้จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรึคนใหม่ จะทำให้สถานการณ์การเมืองคลี่คลายดีขึ้นในสายตานักลงทุนต่างชาติที่ให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย เพราะที่ผ่านมาเกิดภาวะสุญญากาศ ขณะที่นักลงทุนต่างรอความชัดเจนของปัญหาทางด้านการเมือง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองก็จะยังคงมีอยู่ต่อไป
ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยการเมืองส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงจาก 800 จุดมาอยู่ที่ 600 จุด ปรับลดลง 20%โดยต่างชาติเทขายหุ้นคิดเป็นมูลค่ากว่าแสนล้านบาท ทั้งๆที่ผลประกอบการไตรมาส 2 บริษัทจดทะเบียนมีผลการดำเนินงานดีขึ้น 40% มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล และราคาหุ้นบางตัวต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี (บุคแวร์รู) ด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวมใกล้เคียง 2 ล้านล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าปีที่แล้ว แม้ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3 จะไม่ดี โดยเฉพาะกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากราคาน้ำมันไตรมาส 3 ปรับลดลง ทำให้ส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันสำเร็จรูปกับราคาน้ำมันดิบของโรงกลั่น (มาร์จิ้น) ลดลงไปด้วย ประกอบกับมีการขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน แต่เชือว่าผลดำเนินงานไตรมาส 4 ปีนี้จะดีขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาจากสถานการณ์อื่นๆประกอบด้วย
ส่วนราคาก๊าซแอลพีจี ขณะนี้ปตท.ได้แบกรับภาระส่วนต่างการนำเข้ากับราคาขายในประเทศไปแล้ว 4,000 ล้านบาท โดยปตท.จะคงแบกรับภาระดังกล่าวต่อไปจนกว่าจะมีการตั้งคณะรัฐมนตรีใหม่เข้ามาดูแล โดยก่อนหน้านี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีมติให้ปตท.แบกรับภาระแอลพีจีในปีนี้ไม่เกิน 5,000 ล้านบาท หากบริษัทฯต้องรับภาระสูงกว่านี้คงต้องพิจารณาอีกครั้ง
นายประเสริฐ กล่าวต่อไปว่า ภายใน 1-2 วันข้างหน้านี้ปตท.จะพิจารณาว่าจะมีการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันหรือไม่ หลังจากการราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง แต่ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงทำให้ต้นทุนน้ำมันปรับสูงขึ้น รวมทั้งเมื่อวันศุกร์ที่ 12 ก.ย.ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดสิงคโปร์ปรับตัวสูงขึ้นด้วย หากค่าเงินบาทไม่อ่อนค่าลง ราคาน้ำมันขายปลีกจะปรับลดลง 2-3 บาท/ลิตร
สำหรับความคืบหน้าการจัดโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงินนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างกาศศึกษา เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวมีหลายขั้นตอน รวมการพิจารณาจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนด้วย ขณะนี้กันการซื้อหุ้นคืนจะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าราคาหุ้นในตลาดขณะนี้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
|
|
|
|
|