กปน. วางแผนจัดหาและผลิตน้ำ 8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวันใน 30 ปีข้างหน้า เพื่อป้อนความต้องการของคนกรุงเทพฯ
นนทบุรีและสมุทรปราการ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มเป็น 15.5 ล้านคน แต่ก่อนถึงวันนั้น
คน 3 จังหวัดที่ว่า อาจต้องเผชิญปัญหาน้ำขาดแคลนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก
การขาดแคลนน้ำแถบกรุงเทพและปริมณฑล ในระหว่างฤดูร้อนนี้อีกไม่นาน อาจจะได้เห็นความรุนแรง
ถึงขั้นที่ปรากฏภาพรถบรรทุกน้ำไปแจกตามตรอกซอกซอยต่าง ๆ ตลอดทั่วทั้งเมือง
เหมือนตามหมู่บ้านในชนบท แต่ขณะนี้ความเดือดร้อนก็แพร่กระจายเฉลี่ยไปอย่างทั่วถึง
ผู้ที่รับรู้ปัญหาได้อย่างลึกซึ้งที่สุดคือผู้ใช้ที่เปิดน้ำจากท่อแล้วพบว่าน้ำประปาไหลน้อยเต็มที
ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว…
หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดการหาน้ำประปาเพื่อบริการประชาชนอย่างการประปานครหลวง
(กปน.) ที่ดูแลพื้นที่ทั้งสิ้น 3,080 ตารางกิโลเมตรครอบคลุมสามจังหวัดคือกรุงเทพฯ
นนทบุรีและสมุทรปราการ
ในปี 2533 พื้นที่ที่ทางการประปาฯ จัดน้ำบริการให้ประชาชนอยู่ในบริเวณ
680 ตารางกิโลเมตร และเพิ่มขยายในปี 2535 เป็น 740 ตารางกิโลเมตรในบริเวณที่มีประชาชนอยู่หนาแน่นและมีวางท่อประปาไปถึง
มีดังนี้
ทิศเหนือ สุดเขตที่ถนนติวานนท์ แจ้งวัฒนะ วิภาวดีรังสิต พหลโยธิน รามอินทรา
สุขาภิบาล 2 และสุขาภิบาล 3
ทิศตะวันออก ถนนบางนา-ตรา เทพารักษ์ (บางพลี) อุดมสุข อ่อนนุช (ลาดกระบัง)
ศรีนครินทร์ แพรกษา (กม. 3)
ทิศใต้ ถนนสุขุมวิท (โค้งบางปิ้ง) ท้ายบ้าน (กม. 4) ปู่เจ้าสมิงพราย
ทิศตะวันตก ถนนธนบุรี-ปากท่อ เพชรเกษม ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี สุขสวัสดิ์
(แยกสมุทรเจดีย์ถึงป้อมพระจุลจอมเกล้า) พุทธมณฑลสาย 2 บางบอน บางบัวทอง-นนทบุรี
รัตนาธิเบศร์ (สะพานพระนั่งเกล้า-บางบัวทอง) เอกชัยและบางขุนเทียน
ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ปรากฏอยู่เป็นระยะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางท่อประปาเสริมการขยายกำลังการผลิตของโรงกรองน้ำ
แม้กระทั่งการเตรียมสร้างโรงกรองน้ำแห่งใหม่ที่ต้องใช้งบประมาณนับหมื่นล้าน
แต่ปัญหาปริมาณน้ำไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ก็เป็นปัญหาที่มาคู่กันเสมอ
ๆ
ทางการประปาฯ ชี้แจงการขาดแคลนน้ำในปัจจุบันว่า ยังไม่ถึงขั้นที่เรียกว่าวิกฤติ
แต่ในช่วงฤดูร้อนนี้อาจจะมีปัญหาการขาดแคลนน้ำในบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณที่อยู่ปลายเส้นท่อเนื่องจากเป็นช่วงที่อากาศร้อน
ทำให้มีการใช้น้ำมากกว่าช่วงปกติถึง 10% เป็นเหตุให้ปริมาณน้ำที่สูบจ่ายตามปกติไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ใช้น้ำ
ในช่วงนี้การประปาฯ จึงเร่งผลิตสูบน้ำเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 3 ล้านลูกบาศก์เมตร
แต่ความต้องการมีมากถึง 3.3-3.4 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน
แต่สำหรับพื้นที่ฝั่งธนบุรีย่านบางพลัด จรัญสนิทวงศ์ และบางกรวย จ. นนทบุรี
คงจะต้องทนรับสภาพการขาดแคลนน้ำระหว่างนี้เนื่องจากน้ำเค็มขึ้นถึงแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณที่ตั้งโรงกรองเคลื่อนที่พระราม
6 ใช้อยู่ ทำให้ไม่สามารถนำมาผลิตน้ำประปาได้ ขณะเดียวกันน้ำในเขื่อนเจ้าพระยาก็มีน้อยเกินกว่าที่จะปล่อยมาไล่น้ำเค็มได้
หากพิจารณาในแง่ความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นจากสองส่วนใหญ่ ส่วนแรกคือการเพิ่มความต้องการใช้ในใจกลางเมืองและส่วนที่สองคือในแถบชานเมือง
ด้วยปริมาณที่ดินในแถบใจกลางเมืองที่มีจำกัดโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสูงสำหรับสำนักงาน
คอนโดมิเนียม ตลอดจนห้างสรรพสินค้าและโรงแรมต่าง ๆ ไม่อาจที่จะขยายพื้นที่ไปในทางกว้างได้
จึงจำเป็นต้องสร้างอาคารตึกสูงขึ้นแทนที่เพื่อประหยัดพื้นที่และแน่นอนจำนวนผู้อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นเป็นหลายสิบเท่าตัว
ปริมาณการใช้น้ำย่อมเพิ่มสูงตามไปด้วย ขณะที่ท่อส่งน้ำเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนยังมิได้มีการปรับปรุง
สุวิช ฟูตระกูล ผู้ว่าการประปานครหลวงกล่าวถึงปัญหาการเพิ่มของอาคารสูงว่ายังไม่น่าหนักใจมากนัก
เพราะการเพิ่มมิได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทางการประปาฯ สามารถทำการวางท่อเสริมเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำได้
แต่การวางท่อประปาในแถบใจกลางเมืองก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย ต้องประสบปัญหาที่ดินและการจราจรที่ติดขัดมากอย่างย่านถนนสุขุมวิท
สีลม สุรวงศ์ เจริญกรุง พญาไท เป็นต้น
โครงการที่สร้างความหวั่นวิตกเป็นอย่างมากให้การประปาฯ ในตอนนี้คือการพัฒนาที่ดินขนาดใหญ่และการเพิ่มขึ้นของโครงการอุตสาหกรรมในแถบชานเมือง
เมืองทองธานีเป็นโครงการที่มีการกล่าวถึงกันมากว่ามีขนาดเกือบจะเป็นเมือง
ๆ หนึ่ง ซึ่งประกอบไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม แหล่งชุมชนที่อยู่อาศัยและการค้า
ถ้าโครงการเสร็จเต็มพื้นที่ในราว 8 ปีข้างหน้าจะสามารถจุคนได้ถึง 1.5 ล้านคน
ปริมาณน้ำที่ต้องใช้ในเมืองทองธานีมีจำนวนถึง 1 ใน 6 ของปริมาณน้ำที่ทางประปาฯ
ผลิตอยู่ในเวลานี้
การเติบโตของเศรษฐกิจที่รวมศูนย์อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ โดยมีเอกชนเป็นตัวกำหนดสำคัญในการขยายของเมือง
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ได้มีการวางแผนร่วมระหว่างรัฐและเอกชนในเรื่องสาธารณูปโภคแต่อย่างใด
ในกรณีเรื่องการใช้น้ำที่การประปาฯ รับผิดชอบอยู่ก็เช่นเดียวกัน
"ทางประปาก็ต้องติดตามดูเองว่าโครงสร้างอะไรที่ไหน ยังไง การก่อสร้างอาคารเขาผ่านทาง
กทม. ไม่ได้แจ้งเรา ปกติเราก็เผื่อไว้บ้างแต่ถ้ามีโครงการใหญ่ขึ้น น้ำก็อาจจะอ่อนไปบ้าง
ซึ่งเราก็ต้องพยายามหามาเติม คือ วางท่อเสริมไป" สุวิช กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ส่วนในกรณีเมืองทองธานี ซึ่งในอนาคตจะเป็นลูกค้ารายใหญ่ของการประปาฯ เมื่อไม่นานมานี้
ได้มีการประสานงานร่วมกันระหว่างโครงการกับการประปาฯ เพื่อร่วมกันวางแผนเตรียมการในเรื่องการใช้น้ำ
ในกรณีนี้ทางโครงการเมืองทองธานีจะต้องร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการวางท่อภายในตัวโครงการด้วย
สำหรับในส่วนของโรงงานอุตสาหกรรมภาคการผลิตตัวสำคัญที่เพิ่งเข้ามามีบทบาทในการใช้น้ำไม่นาน
แต่ได้ขยายความต้องการในปริมาณที่สูง จำนวนโรงงานขนาดเล็ก กลางและใหญ่ ในแถบกรุงเทพฯ-นนทบุรี-สมุทรปราการ
มีประมาณ 25,000 โรง แต่แหล่งที่มาของน้ำใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม จากการศึกษาของไจก้าพบว่าประมาณ
85% ที่ใช้น้ำจากบ่อบาดาล ที่เหลือเป็นส่วนของการประปาฯ ซึ่งไม่มีข้อมูลแยกปริมาณการใช้น้ำของอุตสาหกรรม
ผู้ว่าการประปาฯ กล่าวถึงการใช้น้ำของภาคอุตสาหกรรมว่า
"ใช้น้ำประปาไม่มากเท่าไร แต่ก็มากขึ้นกว่าเดิมมาก ตั้งแต่เราสร้างโรงสูบสำโรงเสร็จเมื่อสองปีที่แล้ว
ถนนปู่เจ้าสมิงพรายมีการใช้มากขึ้น แต่ก็มีที่ยังใช้น้ำบาดาลอยู่ เพราะบ่อยังไม่หมดอายุการใช้งานตามใบอนุญาต
10 ปีที่ขอจากกรมทรัพยากรธรณี"
หลายฝ่ายทราบดีถึงปัญหาที่จะต้องติดตามาจากการใช้น้ำบาดาลจำนวนมาก ๆ คือเรื่องการทรุดตัวของแผ่นดิน
แต่ทางการประปาฯ ยังไม่สามารถจัดหาน้ำมาให้ใช้ได้อย่างเพียงพอ
นับเป็นเวลา 25 ปีตั้งแต่ตั้งการประปาฯ เป็นรัฐวิสหกิจสังกัดกระทรวงมหาดไทย
การประปาฯ มีการจัดทำแผนหลักเพื่อเป็นแนวทางขยายกำลังการผลิตน้ำและป้องกันการขาดแคลนน้ำ
ก่อนปี 2510 ได้มีการวางแผนการกักเก็บน้ำดิบโดยการขุดคลองแยกจากแม่น้ำเจ้าพระยา
บริเวณใกล้วัดสำแลเหนือจังหวัดปทุมธานี 3 กิโลเมตร คลองขุดนี้จะนำน้ำมาเก็บที่อ่างเก็บน้ำเชียงราก
และขุดคลองส่งน้ำมายังคลองสามเสนในปัจจุบัน เพื่อใช้ในโรงกรองน้ำสองแห่งคือโรงกรองน้ำสามเสนและโรงกรองน้ำธนบุรี
ซึ่งเริ่มแรกแต่ละแห่งผลิตน้ำได้วันละ 28,800 และ 172,800 ลูกบาศก์เมตร
ต่อมาเมื่อปริมาณความต้องการน้ำดิบเพิ่มมากขึ้น จึงได้สร้างสถานีสูบน้ำดิบสำแล
ทดแทนการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำเชียงราก ปัจจุบันสถานีสูบน้ำดิบ มีมอเตอร์ในการสูบน้ำ
7 ตัว ที่ใช้งานอยู่ในโรงสูบ 2 และ 3 ส่วนโรงสูบ 1 มีเครื่องสูบ 3 ตัวแต่เป็นเครื่องเก่า
กินไฟมาก จึงไม่ได้นำมาใช้งาน
สถานีสูบน้ำดิบสำแลสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาเฉลี่ยวินาทีละ 30 ลูกบาศก์เมตรเพื่อส่งผ่านตามคลองประปาไปยังโรงกรองน้ำบางเขน
ที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2518 แรกเริ่มมีกำลังการผลิตวันละ 800,000 ลูกบาศก์เมตร
และเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งปี 2532 ผลิตน้ำได้วันละ 2 ล้านลูกบาศก์เมตร
"ทางการประปาฯ ก็ตกลงกับกรมชลประทานคือให้เราใช้น้ำได้ถึง 60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ตอนนี้เราใช้ไปประมาณ 30-40 ลูกบาศก์เมตร ยังใช้ได้อีก แต่เขาก็ต้องหาทางลดการใช้น้ำพวกนาปรัง"
สุวิช ฟูตระกูล ชี้แจง
ดังนั้นช่วงที่ฝนตกในฤดูร้อน ทางกรมชลประทานก็ต้องปล่อยน้ำที่กักเก็บไว้ในเขื่อนภูมิพลหรือเหนือขึ้นไปคือ
เขื่อนสิริกิต ระบายน้ำฝนผ่านเขื่อนเจ้าพระยาลงมาต่อวันจะต้องไม่น้อยกว่า
100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และแบ่งประมาณ 30-40 ลูกบาศก์เมตร สำหรับการประปาฯ
ที่เหลือไว้สำหรับไล่น้ำเค็มและใช้น้ำในด้านอื่น ๆ
นอกเหนือจากน้ำผิวดินซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบหลักที่การประปาใช้ แหล่งน้ำดิบอีกแหล่งหนึ่งคือน้ำบาดาล
ซึ่งใช้สูบจ่ายเสริมให้ชุมชนขนาดเล็กที่กระจายในเขตรอบนอก
แต่เดิมการประปาฯ ใช้น้ำบาดาลประมาณ 1 ใน 3 จองปริมาณน้ำทั้งหมด ต่อมาระยะหลังลดลงเหลือประมาณ
5% ของการผลิตน้ำประปา เนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาแผ่นดินทรุด
ปัจจุบันการประปาฯ มีโรงงานผลิตน้ำ 3 แห่งคือโรงงานผลิตน้ำบางเขน สามเสน
ธนบุรี ทั้ง 3 แห่ง ผลิตได้ 2.72 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน มีการสูบจ่ายน้ำบาดาลเสริมวันละ
40,000 ลูกบาศก์เมตร สำหรับพื้นที่ปลายเส้นท่อที่มีความดันต่ำ
นอกจากนั้นมีโรงกรองน้ำแบบเคลื่อนย้ายได้ (MOBILE PLANT) ขนาดกำลังการผลิต
19,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ที่ใต้สะพานพระราม 6 รวมกำลังการผลิต 2,779 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน
เมื่อผ่านขั้นตอนการปรับปรุงคุณภาพน้ำดิบตกตะกอน ฆ่าเชื้อโรคในกระบวนการผลิตแล้วจะแจกจ่ายให้กับประชาชน
โดยผ่านสถานีสูบจ่ายน้ำ 9 แห่ง ในฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมีสถานีสูบจ่าย 7
แห่งคือ บางเขน พหลโยธิน ลุมพินี คลองเตย ลาดพร้าว และสำโรง ส่วนฝั่งธนบุรีมี
2 แห่งคือสถานีสูบจ่ายน้ำท่าพระและโรงกรองธนบุรี หลังจากนั้นน้ำประปาจะผ่านเข้าสู่ระบบเส้นท่อประธาน
ท่อจ่ายน้ำและท่อบริการสู่ท่อน้ำประปาตามบ้านเรือน
นอกเหนือจากการผลิตน้ำจากส่วนกลางแล้ว ยังมีประปาอิสระอีก 7 แห่ง ได้แก่หนองจอก
มีนบุรี บางบัวทอง บางใหญ่ ไทรน้อย บางพลี บางบ่อ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้น้ำบาดาลเป็นหลัก
ยกเว้นที่หนองจอกและบางบัวทองที่มีโรงกรองขนาดเล็ก
การวางแผนการดำเนินงารนตั้งแต่ปี 2517 จนถึงปี 2533 ปฏิบัติตามโครงการแผนหลักครั้งที่
1-3 ส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขนาดกำลังการผลิตของโรงงานผลิตน้ำบางเขนและการปรับปรุงระบบอุโมงค์ส่งน้ำ
การก่อสร้างสถานีสูบจ่ายน้ำตามจุดต่าง ๆ
โครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาน้ำประปาขาดแคลนทางฝั่งธนบุรีอย่างเร่งด่วนคือการติดตั้งโรงงานผลิตน้ำประปาขนาดเล็กแบบเคลื่อนย้ายได้จำนวน
12 ชุด สามารถผลิตน้ำได้ 60,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
โครงการแผนหลักครั้งที่ 4 เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ปี 2534-2538 เป้าหมายคือเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำอีกวันละ
400,000 ลูกบาศก์เมตร ก่อสร้างท่อส่งน้ำและสถานีสูบจ่ายน้ำลาดกระบังและปรับปรุงระบบท่อเดิม
รวมทั้งลดปริมาณน้ำสูญเสีย ถ้าโครงการนี้เสร็จสมบูรณ์สามารถขยายการบริการน้ำให้อุตสาหกรรมทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ
คือ ถนนร่มเกล้า ถนนกิ่งแก้ว เทพารักษ์ อ่อนนุช บางนา-ตราด บางปู สุขุมวิทตอนล่าง
ศรีนครินทร์ เป็นต้น
การเพิ่มปริมาณน้ำที่ผลิตจากโรงกรอง ก็จะต้องทำการปรับปรุงอุโมงค์ส่งน้ำและท่อประปาให้สอดคล้องกันไปด้วย
ดังเช่นในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้จะต้องซ่อมอุโมงค์เป็นเวลาประมาณแปดเดือนเพื่อป้องกันอุโมงค์รั่วไหลและสามารถรับแรงดันน้ำที่เพิ่มขึ้นอีก
800,000 ลูกบาศก์เมตร ระหว่างนั้นคนกรุงคงจะต้องเผชิญปัญหาน้ำที่ไหลเอื่อยเต็มที
ความต้องการน้ำทั้งหมดในนครหลวงเพิ่มขึ้นทุกวัน ภายในไม่เกิน 10 ปีนับจากนี้ไป
การประปาฯ สามารถจัดหาน้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยาได้ไม่เกิน 60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
หรือประมาณ 5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่ความต้องการน้ำในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะมากกว่า
5 ล้านลูกบาศก์เมตรอย่างแน่นอน
ส่วนที่เกินความสามารถของเจ้าพระยาแหล่งน้ำผิวดินแหล่งเดียวที่การประปาฯ
ใช้อยู่จึงจำเป็นต้องหาแหล่งวัตถุดิบจากแม่น้ำสายใหม่ที่มีปริมาณน้ำเหลือพอที่จะแบ่งให้ชาวเมืองกรุงได้ใช้
แนวคิดในแผนหลักครั้งที่ 5 คือการแยกระบบการผลิตออกเป็น 2 ระบบตามแหล่งน้ำคือทางฝั่งตะวันออกจะใช้น้ำดิบขากแม่น้ำเจ้าพระยา
ปริมาณสูงสุดที่จะใช้ได้ถึงปี 2560 คือ 5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน สำหรับเลี้ยงคนในฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ
ส่วนทางฝั่งตะวันตกจะใช้น้ำดิบจากแม่น้ำแม่กลองในปริมาณ 3 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน
โครงการจัดหาแหล่งน้ำดิบใหม่ได้กำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนเพื่อสร้างโรงกรองน้ำย่าน
อ. บางกรวย จ. นนทบุรี ในพื้นที่ 550 ไร่ และขุดคลองประปาแห่งที่ 2 ระยะทางยาว
101 กิโลเมตร ระยะแรกจะขุดคลองประปาจากโรงกรองน้ำบางกรวยถึง อ. บางเลน จ.
นครปฐม ระยะทาง 36 กิโลเมตร ซึ่งคิดเป็นพื้นที่ที่จะต้องเวนคืนถึง 2,600
ไร่
ระยะที่สองนั้นจะขุดคลองจากอำเภอบางเลนต่อไปจนถึงเขื่อนวชิราลงกรณ์ จ.
กาญจนบุรีเป็นระยะทาง 65 กิโลเมตร ซึ่งจะเริ่มลงมือขุดในปี 2540 คาดว่าจะเสร็จทั้งโครงการในปี
2560 คิดเป็นงบที่จะใช้ในการดำเนินการประมาณ 7,500 ล้านบาท
ระหว่างที่รอการขุดคลองประปาจาก อ. บางเลนไปยังเขื่อนวชิราลงกรณ์ ซึ่งใช้เวลานาน
การประปาฯ จัดหาแหล่งน้ำสำรองชั่วคราวโดยใช้น้ำจากคลองมหาสวัสดิ์ ซึ่งเป็นคลองที่เชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน
เพื่อเป็นแหล่งน้ำดิบให้โรงกรองน้ำบางกรวย ในระยะแรกโดยจะทำการผลิตวันละ
400,000 ลูกบาศก์เมตร และเพิ่มกำลังการผลิตขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งผลิตได้สูงสุด
3 ล้านลูกบาศก์เมตร
โรงกรองน้ำแห่งใหม่ตามกำหนดจะต้องเริ่มลงมือก่อสร้างในปีนี้แต่ยังคงติดขัดปัญหาการเวนคืนที่ดิน
การก่อสร้างจึงต้องเลื่อนออกไป สุวิชเปิดเผยว่าขณะนี้เวนคืนได้ประมาณ 70%
คาดว่าภายในปีหน้าจะได้ลงมอก่อสร้าง ใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี
น้ำจากการผลิตระยะแรกส่งจ่ายไปยังบริเวณถนนบางบัวทอง-ตลิ่งชัน รัตนธิเบศธ์
เอกชัย บางขุนเทียน และถนนพุทธมณฑลสาย 2 สามารถเลี้ยงคนได้ประมาณ 1 ล้านคน
แผนการจัดเตรียมแหล่งน้ำดิบของการประปาฯ วางแผนจนถึงปี 2560 ซึ่งคาดว่าจะพอเลี้ยงประชากรที่จะเพิ่มขึ้นเป็น
15.5 ล้านคนโดยใช้น้ำจากแหล่งน้ำดิบทั้งสองแห่งคือเจ้าพระยา 5 ล้านลูกบาศก์เมตรและแม่กลองอีก
3 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมเป็น 8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน
จากข้อมูลปี 2533 พบว่าสัดส่วนผู้ใช้น้ำ 3 กลุ่มคือประเภทที่อยู่อาศัย
ใช้ 49.07% ธุรกิจ-อุตสาหกรรม 36.7% และราชการ 14.11% ที่เหลือเป็นน้ำสาธารณะที่การประปาฯ
ให้บริการชุมชน จากปริมาณน้ำทั้งหมด 718.73 ล้านลูกบาศก์เมตร
ปริมาณน้ำขายย้อนหลังระหว่างปี 2531-2533 พบว่าการใช้น้ำในปี 2531 เท่ากับ
570.4 ล้านลูกบาศก์เมตรและเพิ่มปริมาณขึ้นในปีถัดมา 10.1% และ 14.4% ตามลำดับ
สำหรับตัวเลขประมาณการใช้น้ำในปี 2535 การประปาฯ คาดว่าปริมาณน้ำขายจะเพิ่มเป็น
792 ล้านลูกบาศก์เมตรและเพิ่มสูงขึ้นถึง 1,137 ล้านลูกบาศก์เมตรในปี 2539
ทั้งหมดนี้คือการประมาณความต้องการใช้น้ำในอนาคตและแผนเตรียมการ 30 ปีเพื่อให้ปริมาณน้ำประปาเพียงพอกับความต้องการของประชาชนในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ
นนทบุรี และสมุทรปราการ
"ทุกคนคิดว่าน้ำเป็น RENEWABLE RESOURCE สร้างมาใช้ได้เท่าไร จะจัดสรรกันอย่างไรระหว่างการเกษตร
ผลิตไฟฟ้า น้ำใช้ในอุตสาหกรรมหรือกระทั่งทำน้ำประปา ในกรณีของของกรุงเทพฯ
ผังเมืองจะต้องมีการควบคู่กันบ้าง ถ้าเราปล่อยเสรีหมด ไม่มีปัญญาหรอกครับ
เทวดาที่ไหนก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่าเล่นแบบมวยวัดไม่มีกติกา อย่างถนนรัตนาธิเบศร์
การประปาฯ มีโครงการวางท่อยังไม่ทันเสร็จ ท่อนั้นก็เล็กไปเสียแล้ว"
นักวิชาการที่คลุกคลีอยู่ในวงการทรัพยากรน้ำท่านหนึ่งแสดงความเห็นต่อสภาพการจัดการน้ำโดยภาพรวม
สาเหตุใหญ่ที่น้ำสำหรับอุปโภค-บริโภคในกรุงยากที่จะจัดสรรมาให้เพียงพอต่อความต้องการคือการไม่มีผังเมืองที่แน่นอน
การรองรับทางด้านสาธารณูปโภคจึงไม่สามารถจับทิศทางการเติบโตของเมืองได้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา การประปาฯ จะต้องเตรียมจัดหาน้ำดิบและขยายกำลังการผลิตแจกจ่ายน้ำให้กับประชาชนค่าใช้จ่ายในการเวนคืนที่ดินของชาวบ้านเพื่อสร้างโณงงานกรองน้ำแห่งใหม่
ค่าก่อสร้างตลอดจนค่าขุดคลองจากแหล่งน้ำดิบที่อยู่ไกลถึงจังหวัดกาญจนบุรี
เป็นเม็ดเงินจำนวนนับหมื่นล้านที่การประปาฯ ต้องกู้ ทั้งจากภายในและนอกประเทศ
เพื่อให้ปริมาณน้ำเพียงพอกับความต้องการใช้
ปัจจุบันแหล่งน้ำดิบใหม่ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายนักทั้ง ๆ ที่ในอดีตไม่มีใครเคยคิดว่าปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ำจะเป็นปัญหาใหญ่อย่างทุกวันนี้
หนำซ้ำประเทศไทยยังตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่มีลุ่มน้ำเจ้าพระยาเป็นลุ่มน้ำใหญ่
น้ำท่าอุดมสมบูรณ์มาโดยตลอด แต่เมื่อจำเป็นต้องหาทางกักเก็บน้ำไว้ใช้ให้เพียงพอในช่วงฤดูที่ฝนไม่ตก
วิศวกรด้านแหล่งน้ำต่างเห็นตรงกันว่า รูปธรรมของการแก้ปัญหาที่ถูกที่สุดคือสร้างอ่างเก็บน้ำหรือเขื่อนเพื่อเก็บน้ำส่วนเกินที่มีในช่วงฝนตก
แต่การสร้างเขื่อนย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมดังที่ฝ่ายอนุรักษ์ได้ชี้แจงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นเสมอมา
แม้กระทั่งการผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลองมาสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อปรสิต
และสิ่งมีชีวิตในแม่น้ำแม่กลองก็เป็นปัญหาที่น้อยคนนักจะกล่าวถึงเพราะผลเหล่านี้ถูกบดบังด้วยความจำเป็นของการใช้น้ำในเมืองหลวง
และปริมณฑลซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
"แหล่งน้ำดิบก็อาจจะมีจากแหล่งอื่น เช่นชั้นใต้ดินที่ลึกไปมาก ๆ ต้องลงทุนมากพอสมควรในการสูบชั้นที่ลึก
500-600 เมตร ชาวบ้านธรรมดาก็ยังไม่ได้เอาน้ำชั้นนี้มาใช้ น้ำคุณภาพดี ตอนนี้โรงไฟฟ้าทางพระประแดงของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
ก็ใช้น้ำชั้นนี้อยู่ แต่ใจผมก็ไม่อยากให้ใช้เพราะมีปัญหาเรื่องแผ่นดินทรุด
นอกจากนี้ก็มีวิธีการผันน้ำจากลุ่มน้ำโขง ที่ยังมีน้ำเหลืออยู่ ถ้าน้ำขาดแคลนจริง
ๆ ภาคอุตสาหกรรมเขาอาจจะลงทุนแล้วคุ้มค่า แม้ว่าจะต้องกลั่นน้ำทะเลมาใช้ซึ่งทีค่าใช้จ่ายสูงมากก็ตาม
สุภัทท์ วงศ์วิเศษสมใจ ศาสตราจารย์ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชียให้ข้อมูลแหล่งที่มาของน้ำดิบซึ่งพอจะมีอยู่บ้างแต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่จะให้ได้น้ำมาในราคาที่แพงลิบลิ่ว
และในแถบเมืองหลวงคงจะหาน้ำดิบไม่ได้แล้วเนื่องจากน้ำจากเจ้าพระยามีให้ใช้อย่างจำกัด
วุฒิ หวังวัชระกุล อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์การเกษตร คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในทีมที่ทำวิจัยเรื่องการขาดแคลนน้ำของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย
(ทีดีอาร์ไอ) ชี้ทางออกของการจัดการปัญหาการขาดแคลนน้ำว่ามีอยู่ 4 ทางด้วยกันคือ
ทางแรกเพิ่มอุปทานน้ำให้เพียงพอ เหมือนที่ทางการประปาฯ เตรียมหาแหล่งน้ำดิบใหม่จากแม่น้ำแม่กลอง
สองคือการพยายามลดน้ำสูญเสียซึ่งพิจารณาได้จากความแตกต่างระหว่างปริมาณน้ำที่ผลิตจ่ายทั้งหมดกับปริมาณน้ำที่การประปาฯ
จำหน่ายได้ในปี 2533 การประปาฯ ผลิตน้ำทั้งหมด 1049.3 ล้านลูกบาศก์เมตรแต่สามารถจำหน่ายได้เพียง
718.7 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดปริมาณน้ำสูญเสียมีประมาณ 30%
วิธีการในการลดปริมาณน้ำสูญเสียคือการสำรวจท่อรั่ว การซ่อมท่อแตกท่อรั่ว
การเปลี่ยนท่อชำรุดหมดสภาพในการใช้งาน ตรวจสอบการใช้น้ำผิดระเบียบ รวมทั้งการซ่อมและเปลี่ยนมาตราวัดน้ำที่ชำรุดของผู้ใช้น้ำ
สามคือการใช้น้ำใต้ดิน และทางสุดท้ายคือการใช้เหตุผลทางเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่าถ้าสินค้าราคาแพงขึ้น
ความต้องการจะลดลง "การขึ้นราคาน้ำเป็นการจัดการด้านอุปสงค์ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยดูแลด้านดีมานด์เลย
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปก็ไปไม่รอด เพราะเราใช้น้ำกันถูกกว่าความเป็นจริง เมื่อใช้ถูกกว่าเราก็ใช้น้ำมากกว่าที่ควรจะเป็น
ก็เหมือนกับการกินบุฟเฟต์ จ่ายเงินเท่ากันแต่กินมากเกินอิ่ม แต่ถ้าราคาเหมาะสม
คนก็ใช้น้ำกันตามความจำเป็น"
สาเหตุที่วุฒิเห็นว่าราคาน้ำมันถูกกว่าความเป็นจริง เนื่องจากว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการรวมค่าต้นทุนน้ำดิบ
ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมที่ผู้ใช้ปล่อยน้ำเสียกลับมาสู่แหล่งน้ำอีกครั้ง ซึ่งทำให้น้ำดิบในแม่น้ำลำคลองไม่มีคุณภาพพอที่จะนำกลับมาผลิตเป็นน้ำประปาใหม่ได้
และในแง่ทางเศรษฐศาสตร์ เมื่อน้ำเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด และกำลังจะอยู่ในสภาพขาดแคลน
น้ำควรจะต้องเป็นสินค้าที่มีราคาด้วย
ต้นทุนค่าน้ำในปัจจุบันต่อ 1 ลูกบาศก์เมตรเฉลี่ย 5.19 บาท โดยคิดค่าใช้จ่ายต่าง
ๆ ประกอบด้วย เงินเดือนค่าตอบแทน ค่าไฟฟ้า สารเคมี วัสดุ ค่าเสื่อมราคา หนี้สูญ
ค่าดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
ในเมื่อคนเมืองหลวงดึงน้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยาในแต่ละวันอย่างน้อยที่สุด
3 ล้านลูกบาศก์เมตร สิง่ที่ควรถูกคำนึงถึงต้นทุนค่าเสียโอกาสในการที่จะนำน้ำปริมาณนั้นไปเป็นปัจจัยในการผลิตด้านอื่น
เช่นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม หรือน้ำสำหรับการสัญจรทางเรือ เป็นต้น
เช่นเดียวกับการใช้น้ำบาดาล ซึ่งราคาน้ำบาดาลที่กรมทรัพยากรธรณีเป็นผู้ดูแล
มีราคาถูกมาก คือประมาณลูกบาศก์เมตรละหนึ่งบาท แต่ผลจากการใช้น้ำบาดาลส่งผลให้แผ่นดินทรุดกระทบต่อทั้งสังคม
สิ่งที่ควรบวกเข้าไปในน้ำบาดาลคือ ต้นทุนทางสังคม ดังกล่าวนี้ รวมทั้งการควบคุมดูแลขแงรัฐที่ไม่ปล่อยให้มีการขุดบ่อบาดาลเป็นไปอย่างไรกติกา
"การขาดแคลนน้ำ ไม่ใช่เท่ากับศูนย์ แต่หมายถึงแทนที่ จะอาบอ่างอาบน้ำ
ก็อาบฝักบัวหรืออาบน้ำแบบตัก หรือแทนที่จะใช้ชักโครกก็หันมาใช้แบบราด ถ้าน้ำมีราคาคนก็จะประหยัดกัน
แทนที่จะเอาน้ำประปาไปรดน้ำต้นไม้ ก็เอาน้ำซักผ้าไปรดแทน เหมือนอย่างที่พัทยา
ซึ่งมีปัญหาเรื่องขาดแคลนน้ำ ขณะเดียวกันการประปาฯ ก็มีรายได้มากขึ้นสำหรับการขยายโครงการต่อไป"
วุฒิเสนอทางออกในเรื่องการประหยัดน้ำที่จะเกิดขึ้นตามมาหากน้ำจะเป็นสินค้าที่มีราคาแพง
ในเรื่องราคาน้ำเขาเห็นว่าควรมีการกำหนดราคาที่ไม่แพงจนเกินไปนักสำหรับปริมาณการใช้โดยเฉลี่ยที่ประชาชนต่อหนึ่งครอบครัวจำเป็นต้องใช้
เพื่อจะได้ไม่เป็นการเพิ่มภาระให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย แต่สำหรับปริมาณที่ใช้มากอันสืบเนื่องมาจากการครองชีพที่สูงขึ้น
การมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้นของผู้มีรายได้สูงและภาคธุรกิจก็ควรจะอยู่ในอัตราค่าน้ำที่สูงมากขึ้นกว่าปกติ
สำหรับการป้องกันในส่วนของภาคอุตสาหกรรมที่โรงงานต่าง ๆ อาจหันมาสูบน้ำบาดาลมากขึ้นเนื่องจากการขึ้นราคาน้ำ
กรมทรัพยากรธรณีก็ควรจะมีการควบคุมการสูบเจาะบาดาลและขึ้นราคาน้ำบาดาลอย่างเหมาะสมควบคู่กันไปด้วย
"การประปาฯ ไม่ได้ขึ้นค่าน้ำมา 8 ปีแล้ว อุตสาหกรรมเราเก็บพิเศษ ถ้าใช้เกิน
2,000 ลูกบาศก์เมตรเราให้ราคาลดลง คือใช้ยิ่งมากราคายิ่งถูกเพื่อเป็นแรงจูงใจให้เขาเลิกใช้น้ำบาดาล
ส่วนประเภทธุรกิจเราถือว่าเราคิดเต็มที่" สุวิช ฟูตระกูล กล่าวกับ "ผู้จัดการ"
ส่วนในกรณีที่ควรจะคิดค่าน้ำดิบเป็นต้นทุนการผลิตผู้ว่าการประปาฯ เห็นว่า
"ตามหลักที่ถูกต้องการประปาฯ ควรจ่าย้ำดิบให้รัฐบาล แต่ต้องให้ประปาขึ้นค่าน้ำกับผู้ใช้ที่รับประโยชน์โดยตรง
เพราะต้องมีการลงทุนที่ผ่านมา เรามักมองกันว่าน้ำมาจากธรรมชาติ ใครจะดูดไปใช้ก็ได้
เจ้าพระยาถือเป็นของสาธารณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องนโยบายของรัฐ
ผมไม่อยากไปบวกค่าน้ำดิบอีกเพราะเป็นภาระกับผู้ใช้โดยตรง"
การบวกค่าน้ำดิบลงไปในต้นทุนการผลิตน้ำประปาเป็นหลักการที่ถูกต้องแต่ในทางปฏิบัติ
การขึ้นค่าน้ำประปาที่ต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรี เป็นเรื่องที่รัฐบาลน้อยชุดอยากจะเสี่ยง
โดยเฉพาะในเมื่อสภาพน้ำประปาที่ให้ประชาชนเป็นไปอย่างขาด ๆ หาย ๆ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
"น้ำเป็นสิ่งจำเป็น ชุมชน ที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรก็ต้องใช้น้ำ
การจัดสรรน้ำจำเป็น แต่ประเทศเราไม่มีกรมชลประทานเขาก็จัดสรรน้ำเพื่อการเกษตรอย่างเดียว
หรือเขื่อนของทางการไฟฟ้าก็สร้างเพื่อผลิตไฟฟ้า การประปาฯ เองก็มีหน้าที่ผลิตน้ำแต่ไม่เคยได้เข้าไปมีส่วนในการวางแผนเพราะว่าแต่ละหน่วยเขามีความจำเป็นของเขา
อันนี้เราไม่ตำหนิ แต่รัฐจำเป็นต้องมีคณะกรรมการมาดูแลความต้องการทั้งประเทศ
เพราะการใช้น้ำเกี่ยวข้องกันหมด" แหล่งข่าวในการประปานครหลวงเปิดเผยกับ
"ผู้จัดการ"
ท่ามกลางสภาพที่อุปทานยากที่จะมาบรรจบกับอุปสงค์ของการใช้น้ำ คนกรุงแต่ละครอบครัวก็หาทางออกด้วยตนเองโดยการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อดึงน้ำจากท่อประปาให้เข้าที่พักของตนเองให้มากที่สุด
บ้านเรือนที่อยู่ติดกับอาคารสูงซึ่งมักจะมีแท็งก์บรรจุน้ำสำรองหรือเครื่องสูบน้ำก็ถือเป็นเคราะห์กรรมที่ถูกแย่งน้ำไป
ส่วนอุตสาหกรรมและบ้านจัดสรรแถบชานเมืองคงจะยินดีพึ่งพาน้ำบาดาลตราบเท่าที่แผ่นดินยังไม่ทรุดจนเกิดน้ำท่วมในบริเวณที่ดินของตน
ขณะที่การประปาฯ ก็มุ่งหน้าหาแหล่งน้ำดิบและขยายกำลังการผลิตต่อไปแม้จะต้องเสียค่าใช้จ่ายทั้งที่เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจและต้นทุนทางสังคมสูงมากขึ้น
สภาพการณ์คงจะต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปตราบเท่าที่รัฐยังขาดการวางแผนจัดสรรน้ำทั้งประเทศและไม่ลงมือจัดการแก้ปัญหาเรื่องการวางผังเมืองรวม