|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
นักลงทุนต่างประเทศ เทขายหุ้นไทยต่ออีกเฉียด 2 หมื่นล้านบาท ในระยะเวลาแค่ 9 วันทำการ หลัง "สมัคร สุนทรเวช" อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ส่งผลให้ยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีทะลุ 1.16 แสนล้านบาท ด้านโบรกเกอร์ ฟันธงแนวโน้มตลาดหุ้นยังผันผวนหนัก สั่งจับตา 3 ปัจจัยหลักทั้งเฟด-การเมือง-ราคาน้ำมัน แม้อาจได้รับผลดีจากการยกเลิกใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ระบุต่างชาติอาจขายหุ้นยาวถึงสิ้นปีนี้ หากสถานการณ์ทางการเมือยังคงยืดเยื้อ
ในที่สุด วานนี้ (14 ก.ย.) รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกการใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) พื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบแดงของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 51 ที่ผ่านมา และได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงตลาดหุ้นไทยเองก็ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
จากการสำรวจดัชนีตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พบว่า ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นลงค่อนข้างผันผวน จากราคาปิด ณ ระดับ 675.22 จุด (1 ก.ย. ก่อนประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และล่าสุด 12 ก.ย. ปิดที่ 654.34 จุด ระยะเวลา 9 วันทำการดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 20.88 จุด คิดเป็น 3.09%
ขณะที่ประเด็นสำคัญคือ ความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศต่อตลาดหุ้นไทย หลังจากประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายสุทธิรวม 9 วันทำการสูงกว่า 18,311.16 ล้านบาท และทำให้ยอดขายสุทธิรวมตั้งแต่ต้นปีเพิ่มสูงขึ้นเป็น 116,365.54 ล้านบาท
นายอดิศักดิ์ คำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้จะมีความผันผวนสูง จาก 3 ปัจจัยหลัก คือ การประชุมของธนาคารสหรัฐฯ (เฟด) ในวันที่ 16 กันยายนนี้ หากเฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 2% และชี้แจงว่าสามารถควบคุมปัญหาเศรษฐกิจได้ จะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ รวมทั้งจะส่งผลให้นักลงทุนปรับพอร์ตการลงทุน ด้วยการนำเงินกลับมาลงทุนในตลาดหุ้น แทนตลาดเงินและตลาดพันธบัตร
ในทางกลับกัน หากเฟดคงดอกเบี้ย แต่ยังไม่ทราบผลความรุนแรงของปัญหา จะส่งผลลบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก จากที่ไม่ทราบทิศทางความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้น แต่หากประเมินว่าปัญหามีความรุนแรงลดลงนั้นก็จะส่งผลดี
สำหรับปัจจัยในประเทศ จะต้องติดตามการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่จะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 17 กันยายนนี้ ว่าจะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาและยุติปัญหาความขัดแย้ง หรือจะเป็นบุคคลที่เข้ามาสร้างความแตกแยกไม่ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ประเด็นสุดท้าย แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลก หากน้ำมันเบรนท์ ต่ำกว่า 95 เหรียญต่อบาร์เรล จะมีแนวโน้มราคาน้ำมันปรับตัวลดลงได้อีก 10 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานให้มีการปรับตัวลดลง แต่หากราคาน้ำมันสูงหว่า 95 เหรียญฯ ก็มีโอกาสที่ราคาน้ำมันจะกลับขึ้นไปอยู่ที่ 100-105 เหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม บริษัทประเมินว่าสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นไทยจะผันผวนสูงปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและลงแรงจาก ซึ่งจากสัญญาณทางเทคนิค ซึ่งดัชนีปรับตัวต่ำกว่า 655 จุด ดัชนีจะลดลงได้ 20-30 จุด ไปอยู่ที่ 630 จุด แต่หากปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่า 655 จุด ดัชนีตลาดหุ้นก็จะปรับขึ้น 20-30 จุด ไปอยู่ที่ระดับ 675-680 จุด
"ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ผันผวนสูงเป็นตลาดแห่งการเก็งกำไร จาก 3 ปัจจัย คือ การประชุมเฟด การเลือกนายกฯ และราคาน้ำมัน โดยให้น้ำหนักไปที่ปัจจัยต่างประเทศ ว่า เฟดจะสามารถควบคุมปัญหาได้หรือไม่ หากปัญหาลดความรุนแรงลงจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้น แม้จะคงดอกเบี้ยหรือไม่ก็ได้ ขณะเดียวกันหากการเมืองในประเทศคลี่คลายไปในทางที่ดี ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เพียงไม่กี่วัน" นายอดิศักดิ์ กล่าว
นางสาวสุภากร สุจิรัตนวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์ บล.เคทีบี กล่าวว่า ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้จะผันผวนขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองจะเป็นไปในทิศทางใด ใครจะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งตลาดหุ้นตอบรับข่าวเป็นระยะ ส่วนการประชุมเฟดคงไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นแต่อย่างใด และเชื่อว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2%
สำหรับมูลค่าการซื้อขายเชื่อว่าจะเบาบางระดับไม่ถึง 10,000 ล้านบาท จากนักลงทุนชะลอดูปัจจัยต่างๆที่จะเข้ามามีผลต่อการลงทุน และเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะยังคงมีการขายหุ้นไทยต่อเนื่อง แต่หลังจากที่มีการยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินจะทำให้นักลงทุนต่างชาติชะลอขายหุ้นไทย
"ตั้งแต่ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ต่างชาติ ขายหุ้นไทยสุทธิต่อเนื่อง โดยประเมินแนวรับที่ระดับ 642-632 จุด แนวต้าน 656-670 จุด โดยปัจจุบันราคาหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงมาจำนวนมากถือว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน"
นายชัย จีรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ คาดว่านักลงทุนจะยังคงชะลอการลงทุน เพื่อรอดูผลการประชุมเฟด (16 ก.ย.) และการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี (17 ก.ย.) โดยให้แนวรับที่ 640 จุด แนวต้านที่ 670-675 จุด ขณะที่หุ้นที่น่าลงทุนยังเป็นหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่และกลุ่มสื่อสาร
"นักลงทุนต่างชาติยังมีแนวโน้มเทขายหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เพราะต่างชาติยังกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ยังไม่มีความแน่นอน"
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวน โดยนักลงทุนชะลอการลงทุน และให้ความสำคัญจากปัจจัยภายในประเทศจากสถานการณ์ทางการเมือง ที่สภาผู้แทนราษฎร์ในวันพุธนี้เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี รวมถึงทิศทางสภาพเศรษฐกิจในตลาดในเอเชีย
"สถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้ออาจจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง และยาวถึงสิ้นปีนี้ หลังจากที่ได้เทขายออกมาต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา"
|
|
|
|
|