Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤษภาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤษภาคม 2535
"กฎหมายเดินเรือยังล้าหลัง"             
 


   
search resources

Transportation
Law




เมื่อเดือนสองเดือนที่ผ่านมา ได้มีเรือบรรทุกสารเคมีอันตรายขนาดใหญ่ ชื่อ นวคุณ 4 ซึ่งบรรทุกสารเคมีประเภทไวนิล คลอไรด์ ไมโนเมอร์ ได้เกิดอุบัติเหตุล่มลงที่ปากอ่าวร่องแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้สารเคมีรั่วไหลออกมาเป็นอันตรายแก่ประชาชนและสิ่งแวดล้อม ประเด็นปัญหากฎหมายที่ควรพิจารณาในเรื่องนี้ก็คือ มีมาตรการกฎหมายใดในการแก้ใขเยียวยาภาวะมลพิษที่เกิดขึ้นจากการอับปางของเรือ และมีมาตรการกฎหมายใดในการควบคุมป้องกัน และการกำหนดคุณภาพของเรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดมลภาวะ ซึ่งในบทความนี้จะกล่าวถึงอำนาจของรัฐในการตรากฎหมายเพื่อควบคุมป้องกันและการกำหนดคุณภาพของเรือเพื่อมิให้เกิดมลภาวะเท่านั้น

โดยปกติเรือที่แล่นอยู่ในท้องทะเล จะต้องมีสัญชาติเสมอโดยสัญชาติของเรือเป็นเครื่องกำหนดว่าเรือลำนั้นจะผูกพันกับกฎหมายของประเทศใด และรวมถึงเขตอำนาจศาล เหนือเรือ นายเรือเจ้าหน้าที่และลูกเรือที่อยู่บนเรือลำนั้น เรือจะมีสัญชาติได้เพียงรัฐหนึ่งรัฐเดียว ซึ่งเรือจะได้สัญชาติมาโดยการจดทะเบียนในรัฐนั้น โดยเงื่อนไขในการจดทะเบียนที่รัฐแต่ละรัฐกำหนดขึ้นจะแตกต่างกันไป ทำให้มาตรฐานคุณภาพของเรือจึงมีความแตกต่างกันด้วย ในการที่รัฐให้สัญชาติแก่เรือนั้นเป็นที่มาของความรับผิดชอบของรัฐในส่วนของความสัมพันธ์ของเรือ และยังทำให้มีความแตกต่างของการใช้อำนาจของรัฐต่อเรือที่ชักธง หรือจดทะเบียนในปรากฏของตนเอง และอำนาจรัฐต่อเรือที่ผ่านเข้ามาในน่านน้ำของตน

อำนาจหน้าที่ของรัฐต่อเรือที่ชักธงหรือจดทะเบียนในประเทศอนุสัญญากฎหมายทะเลภาค 12 ได้บัญญัติไว้ให้รัฐมีอำนาจ

1)ออกกฎหมายระเบียบข้อบังคับเพื่อการควบคุมเรือ เพราะการที่รัฐที่เรือชักธงมีความผูกพันโดยตรงกับเรือที่ชักธงของรัฐทำให้ควบคุมกิจกรรมหรือการกระทำของเรือได้ และสามารถบัญญัติกฎหมายข้อบังคับกำหนดรายละเอียดที่เรือต้องปฏิบัติรวมทั้งโครงสร้าง การติดตั้งเครื่องมือ อุปกรณ์ที่จำเป็นต้องให้เพื่อป้องกันควบคุมภาวะมลพิษขึ้น

2) ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดของเรือชักธง 3) การลงโทษของเรือที่ชักธงของรัฐคุมเอง สำหรับในประเทศไทยนั้นได้มีกฎหมายที่ควบคุมป้องกันและกำหนดคุณภาพของเรือใน

การก่อมลพิษคือ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2546 ประกาศกรมเจ้าท่าที่ 353/2529 และกฎข้อบังคับสำหรับตรวจเรือ ฉบับที่ 15 พ.ศ. 2528

อำนาจรัฐชายฝั่งต่อเรือต่างประเทศผ่านเข้ามาในน่านน้ำของประเทศของตน ตามอนุสัญญากฎหมายทะเล 1982 ไม่ว่ารัฐชายฝั่งมีอำนาจในการควบคุมป้องกันภาวะมลพิษทางทะเลจากเรือที่อยู่ในอธิปไตยของตน ในทะเลอาณาเขต เขตเศรษฐกิจจำเพาะ

ในทะเลอาณาเขตรัฐชายฝั่งมีอำนาจที่จะบัญญัติกฎหมายระเบียบข้อบังคับ เพื่อป้องกันรักษาสภาพแวดล้อมทางทะเล ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของตนได้อย่างเต็มที่ เพราะรัฐมีอำนาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตในขณะที่ภายในเศรษฐกิจจำเพาะรัฐไม่สามารถจะบัญญัติกฎหมายระเบียบข้อบังคับอย่างอิสระ เพราะจะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับและมาตรฐานระหว่างประเทศ เกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจจำเพาะ กฎระเบียบต่าง ๆ นี้ไม่รวมถึงการออกแบบโครงสร้าง หรือการติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ บนเรือเว้นแต่เป็นไปตามข้อบังคับและมาตรฐานระหว่างประเทศ

ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชายฝั่งทะเลและมีเรือเดินทางเข้าออกแต่ละปีเป็นจำนวนมาก และมีกองเรือที่เดินทางทำการขนส่งระหว่างประเทศทำให้มีโอกาสได้รับผลกระทบจากมลพิษจากเรือ จึงควรที่เข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ควบคุมป้องกันมลพิษจากเรือ ค.ศ. 1973 และพิธีสาร ค.ศ. 1978 หรือ MARPOL 73/78 ซึ่งจะให้อำนาจรัฐชายฝั่งต่อเรือที่ผ่านเข้ามาในน่านน้ำในการออกกฎระเบียบ หรือตรวจสอบเรือให้เป็นไปตามกฎหมายที่ตราขึ้นต้องสอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศ การเข้าเป็นภาคีจะทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย โดยทำให้กิจกรรมพาณิชย์นาวีของประเทศไทยได้มาตรฐาน เป็นที่ยอมรับจากสากลประเทศมากขึ้น และจะได้รับความสะดวกในการเดินทางเข้าออกท่าเรือต่างประเทศ เนื่องจากได้รับ CERTIFICATE ที่ออกโดยรัฐบาลไทยซึ่งรับรองการที่เรือปฏิบัติตามข้อกำหนด MARPOL 73/78 ซึ่งรัฐอื่นจึงไม่สามารถปฏิเสธที่ไม่ให้เรือไทยเดินทางเข้าไป หรือใช้สิทธิกักกันเรือไทยจากสาเหตุที่ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด MARPOL 73/78

และในทางกลับกัน MARPOL 73/78 ให้อำนาจกับประเทศไทยปฏิเสธไม่ให้เรือต่างประเทศที่ไม่ได้ติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ เข้ามาในท่าจอดเรือ และมีสิทธิที่จะกักกันเรือที่มีสภาพหรืออุปกรณ์ของเรือไม่เป็นไปตามที่กำหนดใช้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสภาวะแวดล้อม

ถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีกฎหมายภายในแล้ว คือ พ.รบ. เดินเรือในน่านน้ำไทย, ประกาศกรมเจ้าท่า , กฎข้อบังคับสำหรับตรวจเรือ แต่การออกกฎหมายโดยมี อนุสัญญาระหว่างประเทศเป็นพื้นฐานของกฎหมายภายใน การใช้อำนาจในการตราและบทบัญญัติกฎหมายย่อมจะเป็นที่ยอมรับโดยประเทศทั่วไป ประเทศไทยจึงสมควรที่จะพิจารณาเข้าเป็นภาคี MARPOL 73/78

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us