ภายในเวลา 2 ปีข้างหน้า บริษัทจดทะเบียนและรับอนุญาตในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ต้องแปรสภาพเป็นบริษัท มหาชน จำกัด (บมจ.) ตามข้อบังคับในกฎหมายใหม่ 4 ฉบับ
คือ กฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีผลยกเลิกกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ฉบับเก่าทั้งหมด,
กฎหมายบริษัทมหาชนซึ่งเป็นการปรับปรุงแก้ไขหรือยกเลิกฉบับเก่าและตราขึ้นมาใหม่,
พรบ. แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับที่ 12 และ พรบ. แก้ไข พรบ. เงินทุนหลักทรัพย์และเครดิตฟองซิเอร์
กฎหมายใหม่เหล่านี้ได้รับการแก้ไขสมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน โดยกฎหมายฉบับแรกประกาศใช้ในหนังสือราชกิจจานุเบกษาเมื่อ
16 มีนาคม 2535 และมีผลบังคับใช้ประมาณวันที่ 16 พฤษภาคม 2535
ส่วนกฎหมาย 3 ฉบับหลังเพิ่งประกาศเมื่อ 8 เมษายน 2535 เท่ากับมีผลบังคับใช้ในวันที่
8 มิถุนายน 2535
กฎหมายฉบับแรกและ 3 ฉบับหลังจะมีผลบังคับใช้ห่างกันประมาณ 23 วัน ซึ่งนที
วิพุธกุล หัวหน้าฝ่ายจดทะเบียน1 กระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า "ระยะเวลาบังคับใช้ที่ห่างกันไม่มีผลกระทบ
มันสามารถประสานใช้ร่วมกันได้"
นทีเปิดเผยถึงลักษณะของกฎหมายมหาชนฉบับใหม่ที่ต่างออกไปจากฉบับเก่าซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่ปี
2521 และมีการแก้ไขปรับปรุงรวม 2 ครั้งว่า "กฎหมายเก่านั้นกำหนดเรื่องหุ้นและผู้ถือหุ้นไว้ละเอียดมาก
นี่เป็นประเด็นที่ยุ่งยากมากแต่ในกฎหมายใหม่แทบจะไม่มีการกล่าวถึงเลย"
ในกฎหมายมหาชนฉบับเก่ากำหนดว่าบริษัทมหาชนต้องมีผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 100
คนขึ้นไป ในจำนวนหุ้นหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนต้องมีการแบ่งสัดส่วนผู้ถือหุ้นออกเป็น
2 พวก คือ รายใหญ่และรายย่อย
หุ้นของบริษัททั้งหมดไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จะถือโดยผู้ถือหุ้นรายย่อยซึ่งถือได้ไม่เกินรายละ
0.6% ของหุ้นทั้งหมด ส่วนหุ้นที่เหลือถือโดยรายใหญ่ คือรายละไม่เกิน 10%
ของหุ้นทั้งหมด
นั่นเท่ากับว่าในข้อบังคับเดิม ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่มีสิทธิถือหุ้นได้มากกว่าผู้ถือหุ้นรายย่อย
หรือข้อบังคับเดิมให้การปกป้องคุ้มครองผู้ถือหุ้นรายย่อยอย่างมาก
ส่วนทุนจดทะเบียนนั้นกำหนดว่าต้องเป็นทุนที่ชำระด้วยตัวเงินไม่น้อยกว่า
5 ล้านบาท รายละเอียดในกฎหมายเก่าเหล่านี้ได้ถูกยกเลิกไปหมดแล้ว ไม่มีปรากฏในกฎหมายใหม่แม้แต่น้อย
นทีเปิดเผยว่า "กฎหมายใหม่กำหนดไว้เพียงว่าบริษัทมหาชนคือ บริษัทที่มีความประสงค์จะเสนอขายหุ้นแก่ประชาชน
แต่ก็ไม่ได้บังคับว่าต้องขายให้ประชาชนอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าสามารถขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมได้ด้วย
อันนี้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องสอดคล้องกับการขายหุ้นปัจจุบันในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ที่มีทั้งการขายให้ผู้ถือหุ้นเดิมและขายให้ประชาชนสุดแท้แต่มติของคณะกรรมการบริษัทจะพิจารณาจัดสรร"
ส่วนการจัดตั้งบริษัทมหาชนสามารถทำได้ใน 2 กรณี คือจดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่
และวิธีที่สองคือการแปรสภาพบริษัทจำกัด (บจ.) เป็น บมจ. ซึ่งกรณีหลังนี้บริษัทที่เข้าข่ายคือ
บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
บริษัทจำกัดในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะแปรสภาพด้วยการเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อขอมติพิเศษอนุมัติให้มีการแปรสภาพการเปลี่ยนแปลงหนังสือบริคณห์สนธิ
การเปลี่ยนชื่อบริษัท การเปลี่ยนข้อบังคับใหม่ซึ่งบริษัทต้องร่างโดยไม่ขัดกับกฎหมายมหาชน
วัตถุประสงค์ซึ่งต้องมีการระบุอย่างชัดเจนไม่ใช่การระบุแบบกว้าง ๆ อย่างที่เคยทำมา
การเลือกกรรมการไม่น้อยกว่า 5 คนและการเลือกตั้งผู้สอบบัญชีใหม่รวมถึงดำเนินการเรื่องต่าง
ๆ ตามที่จำเป็น
เมื่อได้มติพิเศษมาดำเนินการแล้ว กรรมการในบริษัทจำกัดต้องส่งมอบกิจการให้กรรมการชุดใหม่ของบริษัทมหาชนจำกัดภายใน
7 วัน และต้องดำเนินการจดทะเบียนแปรสภาพภายใน 7 วันนับแต่วันที่ประชุมมติพิเศษดังกล่าวเสร็จ
กระบวนการแปรสภาพจาก บจ. เป็น บมจ. นั้นต้องจดทะเบียนทั้งที่กรมทะเบียนการค้า
กระทรวงพาณิชย์และที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(กลต.) โดยเฉพาะบริษัทที่ต้องการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนหรือบุคคลอื่นนอกจากผู้เริ่มจัดตั้ง
พิเศษ เสตเสถียร รองศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ความเห็นว่า
"ข้อต่างของ บจ. กับ บมจ. คือการแจ้งเกิด หากจดทะเบียนแจ้งเป็นบริษัทมหาชนก็สามารถขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปได้
หากจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด ไม่สามารถขายได้ ส่วนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ที่จะเพิ่มทุนเสนอขายหุ้นต่อประชาชนต้องแปรสภาพเป็น บมจ. เท่านั้นจึงจะทำได้
นั่นหมายความว่าต้องแปรสภาพตั้งแต่กฎหมายบังคับใช้ หากต้องการเพิ่มทุนขายหุ้นต่อประชาชน
ยกเว้นบริษัทที่ได้ขออนุญาตเพิ่มทุนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ ไว้ ก่อนหน้ากฎหมายประกาศใช้ก็สามารถทำได้
โดยไม่ต้องแปรสภาพเป็น บมจ."
นทีและพิเศษต่างให้ข้อคิดเห็นที่เหมือนกันประการหนึ่งว่าขั้นตอนการแปรสภาพเป็น
บมจ. หรือจดทะเบียนเป็น บมจ. ในกฎหมายมหาชนฉบับใหม่ค่อนข้างสะดวก ไม่หยุมหยิมเหมือนกฎหมายฉบับเดิมเมื่อปี
2521 และไม่น่ากลัวอย่างที่เคยคิดกันไว้
แพทย์หญิงประภา วงศ์แพทย์ กรรมการรองผู้จัดการบริษัท สำโรงการแพทย์ จำกัด
(มหาชน) เล่าถึงความยุ่งยากมากมายสมัยที่สำโรงฯ ต้องแปรสภาพเป็น บมจ. ตามกฎหมายเก่าว่า
"ระยะเวลาที่ดำเนินการเพื่อแปรสภาพเป็น บมจ. ใช้เวลานานถึง 2 ปีกว่า
แถมยังมีปัญหาจุกจิกมากมาย โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับสัดส่วนผู้ถือหุ้นรายใหญ่รายย่อยที่ต้องคอยดูให้เป็นไปตามกฎหมายตลอดเวลา"
แต่ในกฎหมายใหม่ประเด็นเรื่องสัดส่วนการถือหุ้น ไม่มีระบุไว้อีกต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก
ๆ ในความเห็นของผู้บริหารสำโรงการแพทย์ฯ ที่มีประสบการณ์แปรสภาพเป็น บมจ.
มาก่อน
ศิรินันท์ จันทโร กรรมการผู้จัดการ บล. ยูเนี่ยน ให้ความเห็นสนับสนุนการที่จะต้องเป็น
บมจ. ในอนาคตว่า "ข้อดีอย่างหนึ่งที่จะได้หากมีการแปรสภาพก่อนวันที่
8 มิถุนายนนี้ คือการประหยัดค่าธรรมเนียมประมาณ 40,000 บาท เพราะค่าธรรมเนียมหลังกฎหมายใหม่ประกาศใช้จะเพิ่มขึ้นทุกอย่าง"
อย่างไรก็ดี ศิรินันท์ ยืนยันว่าหากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่มีการเพิ่มทุนอะไรเลยก็สามารถอยู่ได้อีก
2 ปี โดยไม่ต้องแปรสภาพเพราะกฎหมายจะบังคับก็ต่อเมื่อบริษัทต้องการระดมทุนจากประชาชน
พิเศษ กล่าวอย่างชัดเจนว่า "การเป็น บมจ. เอื้อประโยชน์แก่การระดมทุนมากกว่า
บจ. ในแง่ที่สามารถขายหุ้นให้กับประชาชนได้ บมจ. กับการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
เป็นคนละเรื่องกัน บมจ. สามารถอยู่นอกตลาดฯ ได้และกฎหมายหลักทรัพย์ก็เปิดโอกาสให้มีการระดมทุนในหลายรูปแบบด้วย"
ภายใน 2 ปีข้างหน้า สำโรงการแพทย์ฯ คงจะไม่โดดเดี่ยวเป็น บมจ. เพียงรายเดียวในตลาดหลักทรัพย์ฯ
อีกต่อไปเพราะจะมี บจ. จำนวนมากแปรสภาพมาเป็น บมจ.