Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน9 กันยายน 2551
คนหุ้นจี้เลิกพรก.ฉุกเฉิน-ดัชนีพุ่ง20จุดไล่ 'สมัคร'             
 


   
search resources

Stock Exchange




ดัชนีตลาดหุ้นไทยดีดแรงเกือบ 20 จุด ตามตลาดหุ้นเอเชีย หลังทางการสหรัฐฯ อุ้ม "เฟรดดี แมค - แฟนนี เม" ท่ามกลางกระแสข่าวศาลรัฐธรรมนูญสั่งฟัน "สมัคร" ขาดคุณสมบัตินายกฯ และยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินเร็วๆ นี้ แม้ต่างชาติยังขายสุทธิ 1.2 พันล้านบาท ขณะที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จี้รัฐประกาศยกเลิกด่วน พร้อมเสนอแก้ปัญหาด้วยสันติวิธีโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนใน-ต่างประเทศ "ประเสริฐ" ลั่น หากการเมืองยืดเยื้อ เศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลกระทบกำไรบจ.ครึ่งปีหลังทรุด จาก6เดือนแรกเติบโตดี

ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (8 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงตามทิศทางตลาดหุ้นภูมิภาคที่ได้รับผลดีจากการที่ทางการสหรัฐฯ ประกาศมาตรการเข้าช่วยเหลือสมาคมการจำนองแห่งชาติรัฐบาลกลาง (แฟนนี เม) และบรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง (เฟรดดี แมค) ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลปัญหาสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์)

ขณะที่ ปัจจัยบวกภายในประเทศ คือ เรื่องของการเมืองที่หลายฝ่ายคาดการณ์รัฐบาลจะประกาศเลิกใช้พระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิก (พรก.ฉุกเฉิน) ในเร็ววันนี้ รวมถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัยคดีของนายสมัคร สุนทรเวช เป็นพิธีการดำเนินรายการ "ชิมไปบ่นไป" จะเข้าข่ายขาดคุณสมบัติหรือไม่ ในวันนี้ (9 ก.ย.) ที่การพิพากษาคดี

จากปัจจัยดังกล่าวได้สงผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทันทีตั้งแต่เปิดการซื้อขาย โดยดัชนีแตะระดับต่ำสุดที่ 653.00 จุด ก่อนจะเด้งขึ้นแตะระดับสูงสุดและปิดการซื้อขายที่ 665.66 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 19.86 จุด หรือคิดเป็น 3.08% มูลค่าการซื้อขายรวม 12,295.84 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศยังขายสุทธิ 1,243.28 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 711.89 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,955.18 ล้านบาท

เสนอยกเลิกพ.ร.บ.ฉุกเฉิน

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (สธท.) เปิดเผย ภายหลังการหารือร่วมกัน 6 องค์กรตลาดทุน คือ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจัดการลงทุน สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า องค์กรทั้ง 6 แห่งมีความเห็นร่วมกันที่จะเสนอให้รัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากใช้แล้วไม่เกิดประโยชน์และหมดความจำเป็นแล้ว เพราะพรก.ฉุกเฉินทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความมั่นใจที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

"หากยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินได้เร็ว จะเป็นเรื่องที่ดีและลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น โดยต้องการให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้หาแนวทางแก้ไขปัญหาทางการเมืองโดยเร็ว เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ หากแก้ไขได้ล่าช้า ปัญหาจะขยายวงกว้างขวางและจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การลงทุนในประเทศ และทางที่ดีควรจะแก้ด้วยสันติวิธี ไม่มีความรุนแรง และคำนึงถึงประเทศชาติเป็นหลัก"

สำหรับผลการสำรวจความคิดเป็นบริษัทจดทะเบียนประมาณ 100 แห่ง ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม - ต้นกันยายนที่ผ่านมา ผู้บริหารบจ. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 5% โดยมีความกังวลเรื่องการเมืองเป็นหลัก จากเดิมที่กังวลเรื่องราคาน้ำมันที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้อ และราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น

"ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาลบต่างๆ ทั้งซับไพรม์ ทางการเมืองในประเทศ ที่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากหลังจากพ.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงผลกระทบต่ออัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ ที่อาจจะส่งผลต่อเนื่องถึงผลประกอบการบจ.อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นหากมีโอกาส สธท. จะเสนอผลการหารือร่วมกันต่อรัฐบาล เพื่อคลี่คลายปัญหาโดยเร็ว หากการเมืองยืดเยื้ออกไปอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น ขยายวงถึงภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะตลาดหุ้นถือเป็นแหล่งระดมทุนขนาดใหญ่"

นายประเสริฐ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่านั้น แต่จะกระทบต่อคนจำนวนมาก จากประชาชนที่ลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน เช่น ผู้ที่ถือหน่วยลงทุน บำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวม ฯลฯ รวมมีประชาชนถือหน่วยลงทุนกว่า 10 ล้านคน ที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม

มูลค่าตลาดหดหาย 25%

นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 51 ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับตัวลดลง 27% มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ลดลง 25% หลังจากมีการชุมนุมคัดค้านทางการเมืองทำให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยลดลงวันละ 18,000 ล้านบาท เหลือประมาณ 10,000 ล้านบาท

"เอกชนต้องการให้คลี่คลายปัญหาการเมืองโดยเร็ว รวมถึงยกเลิกพ.ร.บ.ฉุกเฉิน ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริการกองทุนต่างประเทศที่จะเดินทางมาร่วมงานไทยแลนด์โฟกัส ปี 2551 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 17 -19 กันยายนนี้"

วอลุ่มตลาดสูญกว่า 7 พันล./วัน

นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา แต่ยังไม่กระทบต่อบริษัทหลักทรัพย์มากนัก จากมูลค่าการซื้อขายปรับตัวลดลงเฉลี่ยวันละประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท แต่หากปัญหาทางการเมืองยืดเยื้อออกไปอีกหลายเดือน จะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทหลักทรัพย์ ดังนั้นสมาคมโบรกเกอร์จึงหวังว่าการเมืองจะไม่ยืดเยื้อไปกว่านี้

นายวิชา พูลวรลักษณ์ นายกสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย กล่าวว่า ภาคธุรกิจต้องการให้ปัจจัยทางการเมืองมีความชัดเจน หากยืดเยื้อจะกระทบต่อนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ จึงต้องการให้ปัญหาทางการเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดี

หวั่นกำไรบจ.ไม่ถึงเป้า

ด้านนางภรณี ทองเย็น กรรมการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของนักวิเคราะห์ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นักวิเคราะห์ได้ปรับลดดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงเหลือ 825 จุด จากเดิมที่ 900 จุด และคาดการณ์อัตรากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น 21% จีดีพีโต 5%

"หากปัจจัยทางการเมืองยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตกำไรสุทธิของบจ. อาจไม่ถึง 21% แต่หากปัญหาการเมืองจบเร็ว จะทำให้กำไรสุทธิบจ.เติบโตในระดับดังกล่าวได้ และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ"

นางวรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจกรรมบลจ.ยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางการเมือง เพราะผลประกอบการยังมีการเติบโตที่ดี แม้จะปรับตัวลดลงประมาณ 15% แต่ต่ำกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ลดลง 21% ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนอย่างต่อเนื่อง ทั้งกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) หลังจากราคาหุ้นปรับตัวลดลง

ลุ้น"สมัคร"ขาดคุณสมบัตินายกฯ

นายชัย จีรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์นักลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นในระดับใกล้เคียงกับตลาดหุ้นเอเชียที่ประมาณ 3-5% จากข่าวการแก้ปัญหาแฟนนี เม และ เฟรดดี แมค ของทางการรัฐบาลสหรัฐฯ บวกกับราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวสูงสุดจะเป็นหุ้นกลุ่มพลังงาน PTT, PTTEP และหุ้นกลุ่มธนาคาร

ส่วนแนวโน้มวันนี้ ดัชนีตลาดหุ้นจะยังคงผันผวน โดยมีแนวรับที่ 655 แนวต้านที่ 673-680 จุด ขณะที่ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การพิจารณาคดีขาดคุณสมบัตินายสมัคร ของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (โอเปก)

นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือSYRUS กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการเข้ามาเก็งกำไรข่าวการพิจารณาคดีของนายสมัคร ที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าศาลจะวินิจฉัยให้พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี บวกกับตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

สำหรับแนวโน้มวันนี้ ตลาดหุ้นไทยยังไม่แน่นอน นักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน โดยให้แนวรับที่ 655-660 จุด แนวต้านที่ 667-674 จุด โดยต้องจับตาคดีความของนายสมัคร ที่จะมีการชี้ขาดวันนี้

ตลาดหุ้นเอเชียเด้งรับข่าวดี

ด้านความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกตลาดตามทิศทางตลาดหุ้นวอลล์สตรีท หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ มีมาตรการช่วยเหลือสมาคมการจำนองแห่งชาติรัฐบาลกลาง (แฟนนี เม) และบรรษัทจำนองสินเชื่อบ้านของรัฐบาลกลาง (เฟรดดี แมค) ที่ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลปัญหาสินเชื่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์)

โดยดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เปิดตลาดเกือบทั้งกระดาน หลังจากที่ดัชนีนิกเกอิดิ่งลงกว่า 345 จุดเมื่อวันก่อน ทั้งนี้ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 12,671.76 จุด และปิดที่ 12,624.46 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 412.23 จุด หรือคิดเป็น 3.38% ปริมาณการซื้อขายรวม 1.97 พันล้านหุ้น ลดลงจากวันก่อนที่ 2.28 พันล้านหุ้น

"ดัชนีนิกเกอิพุ่งขึ้นอย่างแรงวานนี้ เป็นผลจากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้าเทกโอเวอร์กิจการของแฟนนี เม และเฟรดดี แมค ช่วยคลายความกังวลปัญหาซับไพรม์ แต่คาดว่าตลาดคงไปได้ไม่แรงมากนัก และเร็วๆ นี้ คงไม่สามารถผ่านแนวต้านที่ 13,000 จุดได้" นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าว

ขณะที่ตลาดหุ้นฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็ง ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน หลังนักลงทุนมั่นใจว่าวิกฤตการเงินสหรัฐฯ สามารถอยู่ในการควบคุมของทางการสหรัฐฯ ได้แล้ว โดยดัชนีฮั่งเส็ง ปรับตัวเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 20,637.99 - 20,840.69 จุด และปิดการซื้อขายที่ 20,794.27 จุด เพิ่มขึ้น 860.99 จุด คิดเป็น 4.32% มูลค่าการซื้อขาย 6.84 หมื่นล้านดอลลาร์ฮ่องกง (หรือประมาณ 8.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ส่วนตลาดหุ้นไต้หวัน ดัชนีเวทเต็ดปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบ 6,548.36-6,668.45 จุด และปิดที่ 6,658.69 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 351.41 จุด หรือคิดเป็น 5.57% มูลค่าการซื้อขาย 8.27 หมื่นล้านดอลลาร์ไต้หวัน ขณะที่ดัชนีเซี่งไฮ้ ของจีน ปิดที่ 2,143.42 จุด ลดลง 59.03 จุด หรือคิดเป็น 2.68% มูลค่าการซื้อขาย 2.76 หมื่นล้านหยวน

ดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นเกาหลี ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 5.15% แตะที่ระดับ 1,476.65 จุด ซึ่งถือเป็นสถิติการปรับตัวขึ้นสูงสุดภายในรอบ 1 ปี

ดัชนีสเตรทส์ไทม์ สิงคโปร์ ปิดที่ 2,694.49 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 120.28 จุด หรือคิดเป็น 4.67% ปริมาณการซื้อขาย 971.4 ล้านหุ้น มูลค่าการซื้อขาย 1.59 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์

ตลาดหุ้นมาเลเซีย ดัชนีคอมโพสิตปิดตลาดที่ระดับ 1,075.93 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 5.39 จุด เปลี่ยนแปลง 0.5% ขณะที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปิดที่ระดับ 2,728.53 จุด เพิ่มขึ้น 3.81 จุด หรือ 0.1%   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us