|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
กลุ่ม ปตท. เลื่อนขายหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านบาท จากกำหนดเดิมไตรมาส 3-4 นี้ หลังรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉุดความมั่นใจต่างชาติไม่กล้าซื้อหุ้นกู้ บวกกับดอกเบี้ยขาขึ้นส่งผลให้ต้นทุนสูง ด้านผู้บริหาร "ประเสริฐ" ยันสภาพคล่องสูง ไม่กระทบแผนการลงทุน ขณะที่กำไรไตรมาส 3/51 ลดลงจากไตรมาส 2/51 จากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง แม้ยอดขายทั้งปีแตะ 2 ล้านล้านบาท
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยว่า บริษัทกลุ่มปตท.ได้เลื่อนแผนการออกหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท ออกไป จากเดิมที่จะออกในไตรมาส 3-4 ปีนี้ เนื่องจากปัญหาทางการเมืองมีการประกาศบังคับใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้นักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น หากมีการเสนอขายหุ้นกู้อาจจะทำให้ไม่ได้รับความสนจาจากนักลงทุนต่างชาติ และจากการที่อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงส่งผลทำให้ต้นทุนการออกหุ้นกู่จะอยู่ในระดับสูง จึงไม่คุ้มที่จะออกหุ้นกู้ในช่วงนี้
จากการเลื่อนแผนการเสนอขายหุ้นกู้ออกไปในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนของบริษัท เพราะบริษัทมีกระแสเงินสดที่เพียงพอในการดำเนินงาน และหากมีการกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศจะส่งผลให้สถาพคล่องของของสถาบันการเงินลดลง จึงต้องการให้การเมืองคลี่คลายเพื่อที่จะมีการระดมทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ โดยแผนการลงทุนของกลุ่มปตท.รวมกันประมาณ 1 แสนล้านบาทในช่วง 5 ปี จะยังคงเดินหน้าต่อไปตามแผนงาน
"กลุ่มปตท. ได้มีการเลื่อนขายหุ้นกู้ออกไปจากปัญหาทางการเมือง ส่งผลนักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่น ซึ่งหุ้นกู้ดังกล่าวจะมีการขายแก่นักลงทุนต่างประเทศ หากยังคงมีการขายหุ้นต่อไป นักลงทุนต่างชาติจะไม่สนใจที่มีการเข้ามาซื้อ บวกกับการที่ดอกเบี้ยมีการปรับตัวสูงขึ้น จึงทำให้ไม่น่าสนใจที่จะมีการออก แต่หากบริษัทมีการก็เงินหรือขายในประเทศจะทำให้สภาพคล่องภายในประเทศลดลง" นายประเสริฐ กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการดำเนินงานในไตรมาส 3/51 นี้ กลุ่มปตท.คาดว่าจะปรับตัวลงจากไตรมาส 2/51 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจาก 130-140 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 2 มาอยู่ต่ำกว่า 110 เหรียญ/บาร์เรลในปัจจุบัน ทำให้บางบริษัทประสบผลขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน แต่จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลดีต่อการบันทึกบัญชีที่เป็นรูปเงินบาท แต่รายได้รวมของบริษัทปีนี้ คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 2 ล้านล้านบาท แต่กำไรสุทธิคงใกล้เคียงกับปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 113,557.07 ล้านบาท
ส่วนเรื่องการปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า บริษัทขอรอประเมินราคาน้ำมันตลาดโลก 1-2 วัน ถึงทิศทางราคาน้ำมันดิบยังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ก่อนที่จะตัดสินใจในการปรับลดราคาขายปลีกในประเทศ ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบไม่ลดลง ปตท.จะยังคงตรึงราคาน้ำมันต่อไป เพราะที่ผ่านมา ปตท.ได้ปรับลดราคาน้ำมันมาแล้วถึง 20 ครั้ง รวมประมาณ 10 บาทต่อลิตร ตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ลดลงจาก 134 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มาที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล
ทั้งนี้จากค่าเงินบาทอ่อนค่าลง มีผลทำให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันแพงขึ้น โดยเงินบาทที่อ่อนค่าทุก 1 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันเพิ่มขึ้น 60-70 สตางค์ต่อลิตร ประกอบกับโอเปกที่จะมีการประชุมฉุกเฉินในวันพรุ่งนี้ (9 ก.ย.) น่าจะมีมติลดกำลังการผลิตลง เพื่อดันให้ราคาน้ำมันเกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เชื่อว่าคงจะลดปริมาณการผลิตไม่มากนัก และคงทำให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
ด้านราคาก๊าซแอลพีจี ขณะนี้ ปตท.รับภาระแทนรัฐบาลจากส่วนต่างราคานำเข้ากับขายประเทศประมาณ 4,000 ล้านบาท ก็ยังคงยืนยันทั้งปีรับภาระไม่เกิน 5,000 ล้านบาท ส่วนการขึ้นราคาแอลพีจี ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า
สำหรับความคืบหน้าโครงการจัดซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงินนั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาซื้อหุ้นคืน ยังไม่ได้ข้อสรุป และยืนยันว่าแนวคิดการซื้อหุ้นคืนของบริษัทไม่ได้เป็นการสร้างราคาหุ้นแต่อย่างไร
ขณะที่ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTT วานนี้ (8 ก.ย.) ปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยมีราคาต่ำสุดที่ 242 บาท ก่อนจะปิดที่ระดับสูงสุดหุ้นละ 248 บาท เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 8 บาท หรือคิดเป็น 3.35% มูลค่าซื้อขายสูงสุดติดอันดับหนึ่งที่ 1,450.85 ล้านบาท
|
|
|
|
|