|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
*มรสุมการเมืองกระทบอสังหาฯ ทุนใหม่ชะงักเข้าไทย ทุนเก่าหวั่นความเสี่ยง ลดวงเงินลงทุนโครงการ หันเจาะดีมานด์คนไทย
*เลื่อนจัดโรดโชว์ต่างประเทศ หลังนักลงทุนต่างชาติรายย่อยชะงักซื้อ เพราะไม่มั่นใจสถานการณ์
*ทุนเงินเย็นไม่หวั่นการเมืองวุ่น แห่ซื้ออสังหาฯ กระจายความเสี่ยงยุคเงินเฟ้อ กฎหมายคุ้มครองเงินฝากเปลี่ยน
อุณหภูมิการเมืองไทยที่ร้อนแรงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง รวมไปถึงเหตุการณ์ที่เริ่มบานปลายเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่เข้ามากระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง และเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายกำลังติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการตัดสินใจซื้อของตลาด
ต่างชาติช็อกชะงักซื้อ
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมีผลกระทบทันทีต่อการความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติ ทำให้กิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน)โบรกเกอร์อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นตัวกลางติดต่อกับนักลงทุนต่างชาติ บอกว่า จากการไปโรดโชว์จัดงาน Solo Exhibition ในต่างประเทศ พบว่านักลงทุนรายย่อย 100% กังวลกับเสถียรภาพของการเมืองไทย ส่วนนักลงทุนรายใหญ่ที่เพิ่งเริ่มดีลก็ชะลอการเจรจาทันที
“ครั้งนี้นักลงทุนกังวลมาก เพราะเหตุการณ์แตกต่างจากตอนรัฐประหาร 19 ก.ย. ที่เกิดขึ้นแล้วจบไปเลย ทุกอย่างมีความชัดเจน แต่ครั้งนี้ทุกอย่างยังไม่มีความชัดเจน ยืดเยื้อ ซึ่งมันดูน่ากลัวกว่ามาก หากยังแก้ไขไม่ได้จนยืดเยื้อถึงปลายปี จะมีผลกระทบต่อยอดขายแน่นอน” กิติศักดิ์กล่าว
ส่วนตลาดในไทยพบว่า หลายโครงการที่ฮาริสันทำการตลาดให้มียอดคนเข้าชมโครงการลดลง เนื่องจากลูกค้าระมัดระวังมากขึ้น และยังไม่แน่ใจว่าจะตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ดีหรือไม่
ปรับแผนโรดโชว์
อุรเสฎฐ นาวานุเคราะห์ ผู้จัดการด้านบริหารสินทรัพย์ บริษัท แปซิฟิค สตาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง บริษัทฯ ได้เลื่อนแผนการนำโครงการ Eight Thonglor ไปโรดโชว์ที่สิงค์โปร์ และ Sathorn Gardens ไปโรดโชว์ที่ฮ่องกงออกไปอีกระยะหนึ่ง และจากการสอบถามตัวแทนขายในฮ่องกงและสิงคโปร์ พบว่า ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ ขอติดตามดูสถานการณ์อีก 1-2 สัปดาห์
ส่วนแผนการลงทุนอีก 2 โครงการขนาดใหญ่ในไทย ได้แก่ โครงการ Mix Used ในย่านซีบีดี และโครงการที่อยู่อาศัยและโรงแรมในเมืองท่องเที่ยว มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาทของแปซิฟิค สตาร์ยังคงเดินหน้าตามแผนอย่างต่อเนื่อง โดยอาจจะมีการปรับรูปแบบของการทำตลาด หันมาเน้นกลุ่มคนไทยมากขึ้น ซึ่งยังมีดีมานด์ และไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์ของประเทศมากกว่าลูกค้าชาวต่างชาติ
ทุนใหม่ลดไซส์-ชะลอลงทุน
ในส่วนของนักลงทุนจากมาเลเซียที่สนใจจะลงทุนในไทย และการเจรจามีความคืบหน้าไปแล้ว กิติศักดิ์บอกว่า ยังคงเดินหน้าที่จะลงทุนตามแผนเดิมต่อไป แม้จะยังกังวลต่อสถานการณ์ โดยได้ปรับลดวงเงินลงทุนในไทยเหลือเพียง 2,000-3,000 ล้านบาท จากเดิม 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อลดความเสี่ยงหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น ในขณะที่กลุ่มทุนรายใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มดีล หยุดการเจรจาทันที เพราะยังไม่มั่นใจในสถานการณ์
ทุนเงินเย็นแห่ซื้อที่ดินเก็บ
กิติศักดิ์กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวของวงการซื้อขายที่ดินในช่วงนี้ แม้ภาวะการเมืองจะยังไม่ชัดเจน แต่นักลงทุนประเภทเงินเย็น ที่มีเงินสำรองจำนวนมากยังคงหาซื้อที่ดินในทำเลดีเก็บไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาวะเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปถึง 10% รวมไปถึง พรบ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 ที่เพิ่งมีผลบังคับใช้ ทำให้อสังหาริมทรัพย์กลายเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุนที่สามารถเอาชนะภาวะเงินเฟ้อได้ จากมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กิติศักดิ์ชี้ว่า นักลงทุนที่ยิ่งมีเม็ดเงินจำนวนมาก จะยิ่งมีความสามารถในการเลือกซื้อสินทรัพย์ที่ในทำเลดีได้ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนสูงถึง 15-20% ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ภายใน 6 เดือนถึง 1 ปี เช่น ที่ดิน Prime Area ในย่านซีบีดี ในเขตชุมชนเมืองตามแนวรถไฟฟ้า เช่น ลาดพร้าว รัชดา อ่อนนุช เพชรบุรี โดยที่ดินประเภทนี้จะเป็นการลงทุนของนักลงทุนที่เม็ดเงินตั้งแต่ 1,000 บ้านบาทขึ้นไป
ส่วนการลงทุนอีกระดับหนึ่งสำหรับนักลงทุนที่มีเม็ดเงิน 500-1,000 ล้านบาท ช่องทางลงทุนจะอยู่ที่ที่ดินรอบนอกเมือง หรือตามเมืองท่องเที่ยว ซึ่งมีราคาถูกกว่าประเภทแรก สร้างผลตอบแทนประมาณ 15% ภายในช่วงเวลา 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง ในขณะที่การลงทุนของนักลงทุนรายย่อยที่นิยมซื้อคอนโดมิเนียมแบบเก็งกำไร และปล่อยเช่า หากรู้จักภาวะตลาด และขายออกในช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสม จะสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 7-8% ได้
ขณะที่ไนเจิล คอร์นิค กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด กล่าวว่า โดยภาพรวมนักลงทุนต่างชาติยังสนใจเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ เพียงแต่อาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อในช่วงนี้ เพื่อระมัดระวังการลงทุน เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของไทยถือว่าแข็งแกร่ง อีกทั้งราคาสังหาริมทรัพย์ในไทยยังถูกมาก ในส่วนของกลุ่มผู้ร่วมทุนของไรมอน แลนด์ยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อการลงทุนในไทย และยังเดินหน้าลงทุนโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดระดับพรีเมี่ยม ที่ความต้องการยังมีอีกมาก ในทำเลท่องเที่ยว เช่น พัทยา และภูเก็ต
นอกจากนี้ พรบ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่รัฐบาลพยายามจะผลักดันให้เกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า และมีผลต่อที่ดินที่ถูกทิ้งไว้ว่างเปล่าที่ต้องถูกเก็บภาษี กิติศักดิ์มองว่า จะทำให้จะทำให้เกิดการพัฒนาเมืองมากขึ้น
จัดสรรยังลงทุนต่อเนื่อง
ด้านการหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการของดีเวลลอปเปอร์ กิติศักดิ์กล่าวว่า ยังมีอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับดีมานด์ของตลาด โดยเฉพาะในกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ และรายกลางที่มีประสบการณ์ โดยพยายามจะเลือกเฉพาะที่ดินเกรดเอ อยู่ในทำเลดีจริงๆ เท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านการตลาด ซื้อแล้วพัฒนาทันที ซึ่งทุกวันนี้ดีเวลลอปเปอร์เริ่มพบปัญหาว่า ที่ดินในทำเลดีที่เหมาะสำหรับการพัฒนาโครงการหาได้ยากขึ้น
|
|
|
|
|