|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ประเมินความสามารถการแข่งขันและแผนธุรกิจหลักทรัพย์รองรับการเปิดเสรีตั้งแต่ปี 2551-2553 คาดการณ์มูลค่าตลาดรวมปี 53 โตจากมาร์เกตแคปปี 50 ที่ 5.07 ล้านล้านบาท อีก 27% และมาร์เกตแคปต่อจีดีพีอยู่ที่ 78% พร้อมประเมินอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเทียบค่าคอมมิชชันแบบขั้นบันไดอยู่ระหว่าง 1.6-6.9% ด้านกรรมการผู้อำนวยการสมาคมฯ เตรียมนำผลศึกษารายงานให้สมาชิกทราบในการประชุมวิสามัญเดือนนี้
นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า คณะกรรมการเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ (ไลเซนส์) และความสามารถในการแข่งขันของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ ได้มีการจัดทำแผนธุรกิจหลักทรัพย์ ปี 2551- 2553 เพื่อพิจารณาในภาพรวมของการเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์และการเปิดสรีค่าคอมมิชชั่น ตลอดจนความสามารถในการแข่งขันและความอยู่รอดของบริษัทหลักทรัพย์ โดยจะลดการพึ่งพิงรายได้จากค่าคอมมิชชัน และได้ศึกษาช่องทางอื่นในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจหลักทรัพย์
"คณะกรรมการเปิดเสรีใบอนุญาตธุรกิจหลักทรัพย์ฯ มีการศึกษาจัดทำแผนธุรกิจหลักทรัพย์เพื่อที่จะประเมินถึงความอยู่รอดของธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งเมื่อทางคณะกรรมการเปิดเสรีฯ สรุปผลการศึกษาออกมาแล้วจะมีการนำผลการศึกษาดังกล่าวไปแจ้งให้กับทางบริษัทสมาชิกรับทราบ แต่ยังไม่ทราบว่าจะมีการนัดประชุมเมื่อไรต้องหารือกับฝ่ายจัดการก่อน" นายกัมปนาท กล่าว
ทั้งนี้จากข้อมูลการประชุมของคณะกรรมการบริหารสมาคมหลักทรัพย์ รายงานผลการศึกษาของคณะกรรมการการเปิดเสรีฯ โดยมีสมมติฐานในการจัดทำแผนธุรกิจดังนี้ 1. มูลค่าตามราคมตลาดรวม (มาร์เกตแคป) ในปี 2553 มีอัตราการเติบโตเท่ากับ 27% เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีมาร์เกตแคปรวม 5.07 ล้านล้านบาท 2. ปี 2551-2553 อัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) จะเติบโตอยู่ที่ระดับ 8.4% มาร์เกตแคปของตลาดหุ้นไทยต่อจีดีพีจะเท่ากับ 78% และการซื้อขายต่อจีดีพีอยู่ที่ 63%
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการการเปิดเสรีฯ ได้แบ่งอัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชัน) เฉลี่ยในปี 2553 ออกเป็น 4 กรณี คือ กรณีที่ 1 ค่าคอมมิชชันเฉลี่ยอยู่ที่ 0.175% ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 5,916 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนการลงทุนในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ (ROE) จะอยู่ที่ 6.9%
กรณีที่ 2 อัตราค่าคอมมิชชันเฉลี่ย 0.150% จะทำให้กำไรสุทธิของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์อยู่ที่ 4,386 ล้านบาท ผลตอบแทนการลงทุนในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 5.2% กรณีที่ 3 อัตราค่าคอมมิชชันเฉลี่ย 0.125% ซึ่งกำไรสุทธิของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์อยู่ที่ 2,857 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนการลงทุนในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 3.4% และกรณีสุดท้าย อัตราค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ย 0.100% กำไรสุทธิของอุตสาหกรรมหลักทรัพย์อยู่ที่ 1,346 ล้านบาท และอัตราผลตอบแทนการลงทุนในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์จะอยู่ที่ 1.6%
นายจงรัก ระรวยทรง กรรมการผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า จากการที่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ฯ ได้มีการศึกษาและมีการจัดแผนธุรกิจหลักทรัพย์ขึ้น เพื่อที่ประเมินธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วงที่มีการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นแล้วผลประกอบการและกำไรสุทธิของธุรกิจหลักทรัพย์จะอยู่ที่เท่าไร เพื่อที่จะได้เห็นตัวเลขการประมาณการที่ชัดเจน
ทั้งนี้ เพื่อที่จะให้บริหลักทรัพย์ได้มีการเตรียมตัวและมีการจัดแผนการดำเนินงานธุรกิจของแต่ละบริษัทให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ โดยทางสมาคมหลักทรัพย์ฯ จะมีการนำผลการการศึกษาและสมมติฐานโครงสร้างค่าคอมมิชชั่นดังกล่าวเข้าประชมวิสามัญสมาชิกบริษัทหลักทรัพย์ฯ ที่จะจัดขึ้นภายในเดือนนี้
"การที่สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ให้มีการศึกษาและจัดแผนธุรกิจหลักทรัพย์และประเมินค่าคอมชัน และกำไรสุทธิของบริษัทหลักทรัพย์ เพื่อที่จะได้มีตัวเลขเป็นรูปธรรมมากขึ้น จากเดิมที่มีการพูดลอยๆ เพื่อที่จะให้บริษัทสมาชิกทราบ และจะได้มีการเตรียมการปรับตัวและวางแผนการดำเนินงานในอนาคต"นายจงรัก กล่าว
อนึ่งก่อนหน้านี้ คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้มีมติให้มีการคิดค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์แบบมีขั้นต่ำเป็น 2 ช่วง โดยใน 3 ปีแรก ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2550 -31 ธันวาคม 2552 ให้คิดค่าธรรมเนียมสำหรับการซื้อขายทั่วไปไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.25 ส่วนการซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 60 ของอัตราค่าธรรมเนียมการซื้อขายทั่วไป โดยลูกค้าที่ซื้อขาย ผ่านอินเทอร์เน็ตต้องเปิดบัญชีซื้อขายแบบ Cash Balance และ Credit Balance เท่านั้น
สำหรับ 2 ปีถัดไป ระหว่าง 1 มกราคม 2553- 31 ธันวาคม 2554 ให้คิดค่าธรรมเนียมแบบขั้นบันไดแบ่งเป็น 4 ขั้นตามมูลค่าการซื้อขายรายวัน โดยเริ่มจากอัตราขั้นต่ำร้อยละ 0.25 สำหรับการซื้อขายที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ล้านบาทและคิดค่า ธรรมเนียมในอัตราที่ลดลงเป็นลำดับสำหรับการซื้อขายส่วนที่เพิ่มขึ้นหากมูลค่าซื้อขายต่อวันมากกว่า 1 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท คิดค่าธรรมเนียมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.22 การซื้อขายส่วนที่เกินมูลค่า 10 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 20 ล้านบาท คิดค่าธรรมเนียมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.18 และการซื้อขายส่วนที่เกินมูลค่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ให้มีการต่อรองค่าธรรมเนียมได้โดยเสรี
|
|
|
|
|