|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
ตลาดหุ้นไทยดิ่งเหวเกือบ 20 จุด หลังรัฐบาล "สมัคร" ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้จะดีดกลับช่วงท้ายและปิดที่ 659 จุด วูบกว่า 15 จุด มูลค่าการซื้อขาย 1.2 หมื่นล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขวัญหนีดีฝ่อ ทิ้งหุ้นไทยอีก 3.4 พันล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีทะลุ 1 แสนล้าน ขณะที่ "ภัทรียา" จ้องตาไม่กระพริบ เตรียมหามาตรการรับมือหากเหตุการณ์วิกฤต ด้าน "มล.ทองมกุฏ" นายกสมาคมโบรกเกอร์ต่างชาติ ชี้ต่างชาติขนเงินหนีลงทุนประเทศอื่นแล้ว เตือนจับตาการเมืองใกล้ชิด ส่วนผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ยันกระทบความเชื่อมั่นต่างชาติ และเป็นการซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจให้ย่ำแย่หนักขึ้น
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วานนี้ (2 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงทันทีที่เปิดการซื้อขาย คือ ปรับตัวลดลงติดลบเกือบ 15 จุด จากการที่รัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปก.)
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นได้ปรับตัวลดลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 660.57 จุด ก่อนจะค่อยๆ ดีดกลับขึ้นมาทำระดับสูงสุดที่ 666.98 จุด และปิดการซื้อขายช่วงเช้าที่ระดับ 663.01 จุด ลดลง 12.21 จุด หรือคิดเป็น 1.81% มูลค่าการซื้อขาย 4,723 ล้านบาท
ขณะที่ช่วงบ่ายตลาดหุ้นยังคงปรับตัวลงต่อเนื่องจนถึงระดับที่ลึกสุดที่ 659.51 จุด ติดลบกว่า 19.60 จุด ก่อนจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาเล็กน้อยส่งผลให้ดัชนีเด้งกลับมาปิดที่ระดับ 659.51 จุด ลดลงจากวันก่อน 15.71 จุด คิดเป็น 2.33% มูลค่าการซื้อขายรวม 12,607.63 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศได้เทขายหุ้นออกมาอย่างหนาแน่น ส่งผลให้ยอดขายสุทธิรวมพุ่งถึง 3,395.09 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,316.01 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิสูงกว่า 4,711.10 ล้านบาท
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด หลังจากรัฐบาลประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเตรียมพร้อมระบบการซื้อขายต่างๆ รวมทั้งได้มีการรายงานให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ ทราบว่าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เปิดให้มีการซื้อขายตามปกติ
ขณะเดียวกันได้ปรึกษากับนาปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อขอให้คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมความพร้อมในการประชุมหารือ ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์เลวร้ายอันที่จะส่งผลให้นักลงทุนตื่นตระหนก หรือในกรณีที่บริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ไม่สามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้
นางภัทรียา กล่าวว่า จากประเมินสถานการณ์เบื้องต้นยังไม่มีเหตุที่จะต้องเรียกประชุมคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยในช่วงก่อนเปิดการซื้อขาย (pre -open) ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงบ้างประมาณ 2% และในช่วง 10.00 น. ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น คือ ลดลงประมาณ 1.8% แม้มูลค่าการซื้อขายเงียบเหงา แต่ถือเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูสถานการณ์อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเข้าลงทุน ซึ่งมูลค่าการซื้อขายชะลอตัวซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่นักลงทุนจะมีการรอดูสถานการณ์อย่างรอบคอบก่อนที่จะมีการตัดสินใจการลงทุน
และจากการสอบถามไปยังบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้นก็ยังไม่พบว่านักลงทุนจะมีการขายหุ้นออกมาอย่างผิดปกติ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่รอดูสถานการณ์
"การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินครั้งนี้ ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงไม่มากเหมือนกับช่วงเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร ในเดือนก.ย. ปี 49 หรือการประกาศใช้มาตรการกันสำรอง 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพราะเหตุการณ์ยืดเยื้อมาระยะหนึ่งแล้วและเป็นไปตามคาดการณ์ของนักลงทุนอยู่แล้ว รวมทั้งถือว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสอดคล้องกับทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ลดลงประมาณ 1%"
ต่างชาติขายสุทธิทะลุแสนล้าน
อย่างไรก็ตาม นางภัทรียา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า วานนี้นักลงทุนต่างประเทศได้ขายหุ้นสุทธิอีก 3,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยส่วนใหญ่เป็นคำสั่งขายที่มีออกมาในช่วงบ่าย หลังจากนักลงทุนต่างชาติได้รับทราบเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงหลังจากที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมถึงภาพการปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนต่างประเทศ
"นับตั้งแต่ต้นปีถึงขณะนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยแล้ว 101,474.01 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถประมินได้ว่านักลงทุนต่างประเทศจะชะลอการขายสุทธิต่ำลงหรือไม่นั้น แม้ว่าก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างๆ ได้ประเมินว่านักลงทุนต่างชาติจะชะลอขายหุ้นแล้ว หลังจากที่เทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง"
นางภัทรียา กล่าวว่า ในช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงจะเป็นจังหวะเข้าลงทุนหรือไม่นั้น นักลงทุนจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ประเมินความเสี่ยงหรือระยะเวลาในการถือครองหุ้นได้ดี รวมทั้งตั้งตามตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด ทั้งสถานการณ์ทางการเมือง ปัจจัยเศรษฐกิจ พื้นฐานบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยุบพรรคพลังประชาชน และส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาต่อนั้น นางภัทรียา กล่าวว่า สถานการณ์ทางการเมืองใกล้ที่จะหาทางออกได้ หรือจะเดินทางไปในทิศทางไหน จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศประเมินเรื่องการลงทุนโดยตรงในประเทศไทย รวมถึงการลงทุนเพื่อขยายกิจการของภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม วานนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เลื่อนแถลงข่าวการจัดงานไทยแลนด์โฟกัส แต่ยังคงยืนยันกำหนดจัดงานในช่วงวันที่ 17-20 กันยายนนี้ หลังจากการหารือกับบริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ แต่อาจจะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้งในช่วง 2-3 วันนี้ โดยขณะนี้มีกองทุนยืนยันที่จะร่วมเข้าร่วมงานมาพอสมควร และมีบริษัทจดทะเบียนยืนยันเข้าร่วมงาน 80 บริษัท
ก.ล.ต.ยันภาวะตลาดทุนยังปกติ
นายประเวช องอาจสิทธิกุล ผู้ช่วยเลขาธิการอาวุโส สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า สำนักงานก.ล.ต. ได้สอบถามไปยังผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) พบว่าขณะนี้ยังไม่มีการไถ่ถอนหน่วยลงทุนจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นจนผิดปกติ แม้รัฐบาลจะประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน
"ผู้ถือหุ้นหน่วยลงทุนทั้งต่างชาติและคนไทยมีการขายหน่วยลงทุนออกมาบ้าง แต่ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ และไม่มีนัยสำคัญแต่อย่างใด"
นายประเวช กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) และบลจ. ยังมีความแข็งแกร่งทั้งฐานะการเงิน การดูแล และการบริการลูกค้า แต่ทั้งบล.และบลจ.อาจได้รับผลกระทบบ้างจากปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวลดลง ทำให้ก.ล.ต.ยังไม่มีความกังวล เนื่องจากยังไม่มีสัญญาณในเชิงลึกที่บ่งชี้ว่าจะต้องเข้าไปดูแลเป็นกรณีพิเศษ แต่ก.ล.ต. เองจะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
ต่างชาติขนเงินหนีตลาดหุ้นไทย
มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ ผู้อำนวยการฝ่ายค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะนายกสมาคมโบรกเกอร์ต่างประเทศ กล่าวว่า นักลงทุนต่างประเทศมีความตกใจและตื่นตระหนกจากการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งได้สอบถามว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในประเทศไทย
"ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศนั้น ได้ชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่แล้ว จากสภาพคล่องทางการเงินตรึงตัว ขณะที่การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินครั้งนี้ จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการลงทุนต่อไป แต่จะมากหรือน้อยแค่ไหนต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ว่าจะยืดเยื้อหรือรุนแรงแค่ไหน รวมทั้งปัจจัยการเมืองในไทยที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะทำให้ความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุนในไทยลดลง และขนเม็ดเงินไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียแทน"
อย่างไรก็ตาม หากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง คาดว่านักลงทุนต่างประเทศจะกลับเข้ามาซื้อสุทธิบ้าง แต่คงเป็นสัดส่วนที่ไม่มากพอที่จะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง
'ก้องเกียรติ"ยันไม่กระทบรุนแรง
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ นายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล. เอเชีย พลัส กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยรุนแรงนัก เนื่องจากที่ผ่านมานักลงทุนรับทราบข่าวมาอย่างต่อเนื่อง และนักลงทุนชะลอการลงทุนมาโดยตลอด ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนที่สนใจจะเข้าซื้อหุ้นในราคาถูก
หุ้นไทยผันผวนอิงการเมือง
นายชัย จีรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บล. พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงมากตั้งแต่เปิดตลาดในช่วงเช้าและต่อเนื่องจนถึงช่วงบ่ายที่ลงไปแตะระดับต่ำสุดที่ 655 จุด โดยมีสาเหตุหลักจากกรณีที่รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้จะขยับตัวขึ้นบ้างในช่วงช่วงท้ายตลาด
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 ก.ย.) คาดว่าดัชนีจะแกว่งตัวผันผวนในลักษณะที่ลดลง เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนให้นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้ามาลงทุน ขณะที่ประเด็นหลักที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ สถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง โดยให้แนวรับอยู่ที่ 650 จุด และแนวต้าน 670 จุด ขณะที่นักลงทุนควรชะลอการลงทุนไปก่อน
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. แอ๊ดคินซัน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ ยังคงแกว่งตัวอยู่ในแดนลบ หลังจากปรับตัวลงอย่างรุนแรงวานนี้จากกรณีที่มีการประกาศใช้พ.ร.บ.ฉุกเฉิน รวมทั้งนักลงทุนควรชะลอการลงทุนไปก่อนจนกว่าสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย โดยมีแนวรับที่ 650 จุด แนวต้านที่ 670 จุด
บิ๊กบจ.ชี้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉุดความเชื่อมั่น
ด้านนายวีรพันธ์ พูลเกษ กรรมการ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON กล่าวว่า การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นการซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนโดยรวมที่แย่อยู่แล้วให้ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม เพราะเหตุการณ์ไม่สงบในประเทศทำให้นักลงทุนต่างชาติระมัดระวังเป็นอย่างมากในการเข้าลงทุนทุนในเมืองไทย ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศชะลอลง
"ที่น่าเป็นห่วงอย่างมากสำหรับธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโรงงาน คือ มาตรการที่กลุ่มพันธมิตรฯ และแนวร่วมรัฐวิสาหกิจจะประกาศตัดน้ำตัดไฟ ซึ่งหากลุกลามมาถึงในส่วนภาคธุรกิจเอกชนเชื่อว่าจะเป็นผลเสียหายกับธุรกิจอย่างสูง" นายวีรพันธ์ กล่าว
ขณะที่นางชไมพร ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพิ่มสินสตีลเวิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PERM กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เขตพื้นที่ กทม. คงจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมทั้งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมให้ชะลอด้วย แต่ผลกระทบต่อบริษัทฯ คงไม่มากนัก เนื่องจากที่ผ่านมามีการบริหารจัดการที่ดีและสต็อกสินค้าให้น้อยลงเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง ขณะเดียวกัน ยังเข้มงวดและรอบคอบมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
นายสมัย ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC กล่าวว่า การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของนักลงทุนจากต่างชาติ แต่สำหรับบริษัท คงไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว เพราะปัจจุบันบริษัทมีงานที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 2,000 ล้านบาท และยังมีการกระจายความเสี่ยงในการรับงานในต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้นเป้าหมายรายได้และแผนการดำเนินงานในปีนี้ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
|
|
 |
|
|