|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.เอเชีย พลัส เล็งนำเงินที่ได้จากนักลงทุนใช้สิทธิแปลงสภาพวอร์แรนท์ ลงทุนซื้อหุ้นในกระดาน"กลุ่มส่งออก สินค้าโภคภัณฑ์ ค้าปลีก มือถือ" เหตุหุ้นดีราคาถูกมีจำนวนมาก-ลงทุนต่างประเทศ พร้อมศึกษาออกสตรัคเจอร์โน๊ต "ก้องเกียรติ" ชี้ หากภาวะตลาดหุ้นไม่ดีส่งผลกระทบรายได้ เตรียมขายหุ้นถือยาวหนุนผลประกอบการโต
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลังจากช่วงที่ผ่านมาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี หรือหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง ราคาได้ปรับตัวลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book Value) เป็นอย่างมาก
โดยหุ้นที่บริษัทสนใจพิจารณาเข้าไปลงทุนนั้น บริษัทจะเลือกหลักทรัพย์ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในประเทศ เช่น กลุ่มส่งออก สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงหุ้นที่อาจจะได้รับผลกระทบบ้างแต่ยังมีการเติบโตที่ดี เช่น ค้าปลีก มือถือ ฯลฯ
สำหรับการลงทุนในหุ้นดังกล่าว ต้องขึ้นอยู่ว่าบริษัทจะได้รับเงินการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของใบสำคัญแสดงสิทธิ (ASP-W1) มากน้อยเพียงใด โดยใบสำคัญแสดงสิทธิมีกำหนดระยะเวลาแสดงความจำนงใช้สิทธิ ตั้งแต่วันที่ 15-29 กันยายน จำนวน 496 ล้านหุ้น ราคาใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญหุ้นละ 2 บาท ซึ่งจะทำให้ได้รับเงินประมาณ 900 ล้านบาท และตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ASP-W1 พ้นสภาพจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
"แม้ว่าราคาASP-W1 ในกระดานหลักทรัพย์จะซื้อขายอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 2 บาท แต่บริษัทไม่กังวลว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิน้อย เพราะหากมีเงินใหม่เข้ามาบริษัทก็จะนำไปลงทุน แต่หากไม่มีเข้ามาบริษัทก็มีฐานทุนอยู่ 3 พันล้านบาท" นายก้องเกียรติ กล่าว
ส่วนเงินที่ได้จากการใช้สิทธิวอร์แรนต์จำนวน 900 ล้านบาทครั้งนี้ บริษัทจะแบ่งสัดส่วนไปลงทุนในหุ้นไม่เกิน 40% การปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) 30% ส่วนที่เหลือจะนำลงทุนในสินค้าที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้ พันธบัตร และฝากธนาคาร โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินทุนจำนวน 3,000 ล้านบาท ลงทุนในหุ้นประมาณ 1,000 ล้านบาท มาร์จินโลนกว่า 1,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะฝากไว้กับสถาบันการเงิน
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า จากการที่บริษัทมีการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่บันทึกเป็นราคาต้นทุนและไม่ได้มีการบันทึกในงบการเงิน แต่จะบันทึกในส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งหากภาวะตลาดไม่ดี ทำให้รายได้ในส่วนของค้าหลักทรัพย์ฯไม่ดี บริษัทสามารถที่จะนำหุ้นที่ถือระยะยาวนำออกมาจำหน่าย เพื่อที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทออกมาดี แต่หากภาวะเอื้อบริษัทก็จะยังคงถือระยะยาวต่อไป
"ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะปรับประมาณการรายได้ปีนี้ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะต้องหารือกับทีมบริหารก่อน โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้ 938 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท ส่วนตัวเชื่อว่าภาวะตลาดจากนี้ไปคงจะไม่แย่ไปกว่านี้ เพราะคนคิดว่าต่ำสุดไปแล้ว หากเกิดเหตุวุ่นวายหุ้นจะไม่ลงไปกว่านี้ "นายก้องเกียรติ กล่าวว่า
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีเงินลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 300 ล้านบาท ซึ่งจากภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ดีทำให้ผลตอบแทนของบริษัทไม่ดีเช่นกัน แต่บริษัทก็ยังคงมีผลกำไร แต่ในช่วงที่ภาวะตลาดไม่ดีถือว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุน เพราะ กองทุนทั่วโลกที่จดทะเบียน มีจำนวน 250,000 กองทุน และหากเข้าไปดูผลการดำเนินงานย้อนหลังพบว่ามีอกงทุนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่า 10%มีหลายกองทุน
สำหรับขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาที่จะออกตราสารทางการเงินอ้างอิง(สตรัคเจอร์โน๊ต)ที่จะเสนอขายแก่นักลงทุนแบบเฉพาะเจาะจง จากเดิมนั้นบริษัทจะออก สตรัคเจอร์โน๊ต ซึ่งอิงกับหุ้นต่างประเทศ ในช่วงไตรมาส2/51 แต่จากที่ภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกไม่ดี ได้รับผลกระทบปัญหาสินเชื่อสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (ซับไพรม์) เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ทำให้ลูกค้าของบริษัทเปลี่ยนใจไม่ลงทุน ซึ่งขณะนี้พิจารณาว่าจะออกสตรัคเจอร์โน๊ตอิงสินค้าใด
นายก้องเกียรติ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าธุรกิจการให้คำปรึกษาการลงทุน (Wealth Plus)ปีนี้จะมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) เพิ่มเป็น 6,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มี 4,600 ล้านบาท เนื่องจาก บริษัทจะมีการรับเจ้าหน้าที่การตลาดเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้บริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน
|
|
|
|
|