|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
สงครามแฮร์แคร์ร้อนแรงไม่หยุด ยูนิลีเวอร์ฯเดินหน้าถล่มคู่แข่งระลอกใหญ่ หลังพีแอนด์จีผนึกกำลัง 4 แบรนด์ ปูภาพผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม ล่าสุด ลีเวอร์ฯชู “ซันซิล” ชิงอิมเมจผู้เชี่ยวชาญ ด้วยการทุ่ม 150 ล้านบาท ลอนช์ “ซันซิล สไตล์คอลเลกชั่น” จำนวน 3 สูตร ออกมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สาวไทยที่นิยมเปลี่ยนทรงผมเพิ่มขึ้น 20% พร้อมจัดโรดโชว์ “Snap Salon” เป็นช่องทางส่ง message การจัดแต่งทรงผมด้วยตัวเองอย่างมืออาชีพ การรุกของลีเวอร์ฯสเตปนี้ เป้าหมายอยู่ที่การเบรกเกมทัพแฮร์แคร์พีแอนด์จี ด้วย “ซันซิล” แบรนด์เดียว
ทันทีที่ คู่ปรับคนสำคัญอย่าง “พีแอนด์จี” จัดทัพสินค้ากลุ่มแฮร์แคร์ลงตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีเป้าหมายผนึกกำลังทั้ง 4 แบรนด์ ประกอบด้วย แพนทีน เฮดแอนด์โชว์เดอร์ รีจอยส์ และ แคล์รอล เฮอร์บัล เอสเซ้นส์ เพื่อเสริมภาพความเชี่ยวชาญด้านเส้นผม และคว้าตำแหน่งผู้นำตลาดแฮร์แคร์มาครองภายในปี 2555
ล่าสุด ยูนิลีเวอร์ฯในฐานะผู้นำตลาดก็เปิดเกมสวนกลับแบบทันควัน ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ ภายใต้แบนด์ “ซันซิล” ซึ่งนอกจากการสร้างสีสันในตลาดแฮร์แคร์บ้านเราแล้ว ความเคลื่อนไหวของลีเวอร์ฯครั้งนี้ ยังมีเป้าหมายเพื่อชิงภาพการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมด้วย
“เราหวังว่าจะมีอิมเมจการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมมากขึ้น ไม่ใช่เป็นแค่แชมพูหรือครีมนวด” เป็นคำกล่าวของ ภรณี อึ๊งภากรณ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด
ทว่า การเปิดเกมรุกเพื่อช่วงชิงการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมในครั้งนี้ ยูนิลีเวอร์ฯเลือกชู “ซันซิล” เพียงแบรนด์เดียวเป็นหัวหอกในการบุก ด้วยการทุ่มงบ 150 ล้านบาท เปิดตัว “ซันซิล สไตล์คอลเลกชั่น” ซึ่งไทยเป็นแห่งที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจากประเทศอิโดนีเซีย และนับเป็นการลอนช์ครั้งใหญ่รอบ 2 ของซันซิลในปีนี้ หลังจากต้นปีที่ผ่านมาทำการปรับโฉมซันซิลทั่วโลก ทั้งในด้านคอนเซ็ปต์ ตัวสูตรสินค้า และบรรจุภัณฑ์ ขณะที่พีแอนด์จีเลือกวางเกมเคลื่อนทัพไปพร้อมกันทั้ง 4 แบรนด์
ฉะนั้น จุดที่น่าจับตามองในเกมนี้ จึงอยู่ที่การวัดพลังระหว่าง ซันซิล กับ 4 แบรนด์แฮร์แคร์ของพีแอนด์จี แม้ดูจะเป็นการสู้แบบ 1 ต่อ 4 แต่ศึกยกนี้ก็เรียกว่าสมศักดิ์ศรี เพราะหากพิจารณาตลาดผลิตภัณฑ์แชมพูมูลค่า 7,500 ล้านบาท ซันซิล อยู่ในฐานะผู้นำครองส่วนแบ่งสูงสุด 27.5% ขณะที่ 4 แบรนด์ ของพีแอนด์จี คือ แพนทีน, เฮดแอนด์โชว์เดอร์, รีจอยส์ และแคล์รอล เฮอร์บัล เอสเซ้นส์ เมื่อรวมส่วนแบ่งตลาดจะมีตัวเลขอยู่ที่ 33.9% มากกว่า ซันซิล เพียง 6.4% เท่านั้น
สำหรับ ซันซิล สไตล์คอลเลกชั่น สินค้าตัวล่าสุด ค่ายนี้มั่นใจว่าจะเป็นสูตรที่เข้ามาเติมเต็มคอนเซ็ปต์ “ชีวิตไม่คอยใคร ผมสวยไม่ต้องรอ” ที่ลอนช์ไปเมื่อต้นปีให้ดูชัดเจนขึ้น พร้อมเสริมภาพการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผม ที่ไม่ใช่เฉพาะการดูแลสุขภาพเส้นผมเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นการลงลึกไปถึง shape ของผม หรือการจัดแต่งทรงผมในแต่ละสไตล์ตามความต้องการของสาวไทยในยุคนี้ด้วย ภายใต้แนวคิด “Shape your hair, Shape your life” โดยมีให้เลือกจำนวน 3 สูตร คือ 1.สูตรผมเรียบตรง (สีม่วง) สำหรับผมตรงธรรมชาติ หรือหยักศกเล็กน้อย ประกอบด้วยสินค้า 4 ขั้นตอน คือ แชมพู ครีมนวด โลชั่นลดผมชี้ฟู และ แวกซ์จัดแต่งทรงผม 2.สูตรผมเรียบตรงพลิ้วสวย (สีเขียว) สำหับผมตรงที่ผ่านการยืด ประกอบด้วย แชมพู ครีมนวด และครีมจัดแต่งผม 3.สูตรผมลอนสปริงตัว (สีชมพู) สำหรับผมหยิกหรือดัด ประกอบด้วย แชมพู ครีมนวด และมูสตัดแต่งทรงผม
“การสำรวจพฤติกรรมของผู้บริโภค พบว่า ผู้หญิงกว่า 70% ของสาวไทยจะมีผมตรง และยังต้องการผมเรียบตรง ไม่ชี้ฟู แต่ทั้งนี้ก็มีผู้หญิงต้องการเปลี่ยนทรงผมมากขึ้น เห็นได้จากอัตราการยืดและดัดผมที่เพิ่มขึ้น 20%และผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็ต้องการโปรดักส์ที่สามารถบำรุงและจัดแต่งทรงผมให้ดูสวยอยู่ทรงตามสไตล์ได้ทั้งวัน”
ทั้งนี้ จะเห็นว่าไลน์สินค้าที่ซันซิลลอนช์ออกมาในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการเปิดศึกกับคู่แข่งหน้าเดิมในตลาดแล้ว ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ยังเป็นการขยายแนวรบไปสู่ตลาดจัดแต่งทรงผมแบบเต็มตัวเป็นครั้งแรกด้วย แม้ในอดีต ย้อนกลับไปมากกว่า 15 ปี ซันซิล จะเคยมีสูตรสไตล์ลิ่ง ที่มีทั้งแชมพู ครีมนวด รวมไปถึงเจลแต่งทรงผมก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพียงสินค้าสูตรหนึ่ง ภรณี อธิบายว่า ซันซิล สไตล์ลิ่งตัวเก่าแม้จะมีสินค้าในกลุ่มจัดแต่งทรงผม แต่ก็ยังไม่มีการจัดสูตรให้แมทช์หรือเข้ากับลักษณะความต้องการของผู้บริโภคมากขนาดนี้
แน่นอนว่า ย่อมสร้างแรงกระทบบ้างต่อผู้เล่นในตลาดจัดแต่งทรงผม ที่ปัจจุบันมีมูลค่าราว 800 ล้านบาท โดยมีแบรนด์แคริ่ง เป็นผู้นำมีส่วนแบ่ง 14.6% รองลงมาคือ แกสบี้ 13.4% ทรอส 9.8% และลอรีอัล 6.9% อย่างไรก็ตาม จากการที่ผู้เล่นในตลาดดังกล่าวมีสินค้าเฉพาะกลุ่มจัดแต่งทรงผม เช่น มูส เจล แว็กซ์ ส่วนซันซิลมีสินค้าครบไลน์ โดยแชมพู ครีมนวดยังเป็นสินค้าหลัก ที่สำคัญ ซันซิลยังไม่มีนโยบายขยายสินค้าเข้าสู่ช่องทางซาลอนด้วย ดังนั้นจึงอาจไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง และยิ่งหากมองรูปแบบการทำตลาด หรือการสื่อสารกับผู้บริโภคแล้ว จะเห็นว่า คู่แข่งหลักที่แท้จริงของ ซันซิล คงหนีไม่พ้น 4 แบรนด์ในเครือพีแอนด์จีแน่นอน
เริ่มตั้งแต่ การวางตำแหน่งสินค้า โดยซันซิลกำหนดราคาสินค้าตัวล่าสุดสูงกว่าสูตรต่างๆที่มีอยู่ประมาณ 25% ทั้งนี้เพื่อตอกย้ำความเป็นแชมพูระดับพรีเมียม ขณะที่การสื่อสารกับผู้บริโภค ภาพยนตร์โฆษณายังคงเป็นสื่อที่ค่ายนี้ให้ความสำคัญ โดยมี มาดอนน่าทำหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ถ่ายทอดความทันสมัยและการมีสไตล์ของแบรนด์ แต่ที่สร้างความน่าสนใจและเชื่อว่าจะเป็นเครื่องมือส่ง message กับลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากสุด คือ การจัดโรดโชว์ “สแนพ ซาลอน (Snap Salon)” หรือซาลอนเคลื่อนที่ ซึ่งทางลีเวอร์ฯทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท สำหรับการจัดกิจกรรมดังกล่าวเป็นเวลา 2 เดือน โดยมีทั้งหมด 50 บูธ เพื่อตระเวนจัดทั่วประเทศ 100 จุดตามห้างสรรพสินค้าและร้านทำผมบริเวณมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ
สำหรับ สแนพ ซาลอน จะเป็นช่องทางที่ซันซิลต้องการบุกไปหากลุ่มเป้าหมายที่เป็นวัยรุ่น หรือกลุ่มคนทำงาน เพื่อส่ง message ว่าคุณสามารถทำหรือเปลี่ยนสไตล์ผมได้ด้วยตัวเองที่บ้าน เป็นไปได้ว่าที่ซันซิลต้องใช้โรดโชว์รูปแบบซาลอน ก็เพื่อสื่อถึงความเป็นมืออาชีพด้านการดูแลเส้นผม โดยซาลอนเคลื่อนที่นี้จะมีช่างผมมืออาชีพไปแนะนำวิธีการทำผมด้วยตนเองตามสไตล์ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งตรงตามคอนเซ็ปต์ของ Snap Salon ที่หมายถึง ความสะดวกรวดเร็ว โดยครั้งนี้ซันซิลได้ดึงแอนดรู บาร์ตัน ช่างผมมือ 1 จากอังกฤษมาเป็นที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์ระดับโลก และทำหน้าที่ถ่ายทอดเทคนิกการทำผมหลายสไตล์ทั้งผมยืด ผมตรง ผมดัด ซึ่งในไทยจะมี เจตประวิทย์ ตรีพิทักษ์ แฮร์สไตล์ลิสต์ชื่อดัง เป็นผู้รับหน้าที่ถ่ายทอดเทคนิคดังกล่าว รวมทั้งวิธีการใช้ซันซิล สไตล์คอลเลกชั่นแก่สาวไทย
นอกจากนี้ ซันซิลได้เตียมแจกสินค้าจัวอย่างจำนวน 4 แสนชิ้น ประกอบด้วย สินค้า 3 ตัว คือ แชมพู ครีมนวด และ สินค้าจัดแต่งทรงผม 1 ตัว คือ ลีฟออน โดยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม บอกว่า เราเลือกแจกสินค้าตัวลีฟออน เนื่องจากเป็นขั้นตอนการดูแลผมขั้น 3 ที่ลูกค้ารับรู้บ้างแล้ว และอยู่ในช่วงการสร้างพฤติกรมดังกล่าวให้มากขึ้น โดยปัจจุบันลูกค้าจะมีการดูแลผม 2 ขั้นตอน คือการใช้แชมพูและครีมนวด 100% ส่วนการดูแลผมขั้นตอนที่ 4 จะขึ้นอยู่กับสไตล์ของผม ซึ่งซันซิลก็มีการแบ่งเซ็ทแต่ละสูตรเพื่อผมของผู้บริโภคในแต่ละวัน ฉะนั้น การทดลองสินค้าจัดแต่งทรงผมตัวอื่น จึงต้องการให้ลูกค้าได้ทดลองใช้ผ่านกิจกรรมสแนพ ซาลอน เพราะจะมีช่างผมคอยให้คำแนะนำ เพื่อสามารถนำไปใช้จัดแต่งทรงผมที่บ้านด้วยตัวเอง
ขณะที่ พีแอนด์จี แม้จะยังไม่มีการเปิดตัวสินค้าหรือกิจกรรมที่หวือหวามากในตอนนี้ แต่หากดูความเคลื่อนไหวผ่านภาพยนตร์โฆษณาจะเห็นว่า ค่ายนี้ได้เปิดตัวหนังโฆษณาล่าสุดของแพนทีน ในกลุ่มทรีตเม้นต์ ชนิดเข้มข้น เพื่อการดูแลเส้นผมในเวลาเพียง 3 นาที โดยจะสังเกตเห็นว่า การถ่ายทอดประสิทธิภาพของสินค้าตัวนี้ แพนทีนได้นำเสนอมุมความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมชัดเจนขึ้น ดูจากการให้พรีเซนเตอร์นอนบนเตียงสระผม โดยมีบุคคลที่คล้ายเป็นช่างผมหรือดูเป็นผู้เชี่ยวชาญกำลังทำหน้าที่ดูแลผมให้พรีเซนเตอร์ จากเดิมที่การนำเสนอของแพนทีนจะเน้นที่ตัวพรีเซนเตอร์จะดูแลและใช้ผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง
สำหรับการเลือกตัวแพนทีนให้ออกมาโต้ตอบซันซิลในครั้งนี้ อาจเป็นเพราะพีแอนด์จีมองว่า ซันซิล สไตล์คอลเลกชั่น มีโพซิชันนิ่งเป็นแชมพูพรีเมียมใกล้เคียงกับแพนทีน ส่วนรีจอยส์แม้จะเน้นเรื่องทรีตเม้นต์การดูแลเส้นผม ซึ่งพีแอนด์จีเคยนำเสนอในมุมมองว่าเหมือนได้รับการอบสปาผมก็ตาม ทว่า รีจอยส์ยังมีภาพความเป็นแมสมากกว่า
และนี่คือ การขับเคี่ยวแย่งภาพการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมของ 2 คู่เอก บนสังเวียนแฮร์แคร์ ระหว่าง ยูนิลีเวอร์ฯ กับ พีแอนด์จี ที่แม้ว่าการรุกครั้งนี้ ยูนิลีเวอร์ฯจะส่ง “ซันซิล” มาปะทะกับ 4 แบรนด์ของพีแอนด์จีก็ตาม แต่งานนี้ก็ดูสมศักดิ์ศรีและชวนให้ติดตามอย่างยิ่ง เพราะหากลีเวอร์ฯสามารถเบรกความแรงของคู่ปรับ แน่นอนว่า โอกาสแชมป์เปลี่ยนมือคงเกิดขึ้นได้ยาก แต่ตรงกันข้าม ถ้าพีแอนด์จีสามารถใช้ลูกฮึดฝ่าด่านหินอย่างซันซิลไปได้ งานนี้เชื่อว่าคงได้เห็นผู้นำปาดเหงื่อ
|
|
|
|
|