Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ สิงหาคม 2535








 
นิตยสารผู้จัดการ สิงหาคม 2535
"ทำไมจึงแข่งกันเปิดธนาคารที่กัมพูชา?"             
 

   
related stories

"ใครเป็นใครในแบงก์ที่กัมพูชา"
"เรียล ดอลลาร์ ปัญหาการเงินของเขมร"

   
search resources

Banking and Finance
Cambodia




"กัมพูชา ประเทศเล็ก ๆ ที่มีปัญหาความบอบช้ำของสงครามกลางเมือง มีสถาบันการเงินหลายแห่งเสนอตัวอยากเข้ามาทำธุรกิจที่นั่น ออกจะตลกเมื่อคิดในมุมกลับว่า กัมพูชายังไม่พร้อมเลยสำหรับการมีกิจการธนาคาร"

ระบบธนาคารในกัมพูชาปัจจุบันเป็นเครื่องสะท้อนถึงสภาพที่เป็นอยู่ในส่วนอื่น ๆ ของประเทศได้ดี อย่างธนาคารกลางของกัมพูชาและธนาคารแห่งอื่นของรัฐ ซึ่งแทบจะไม่มีอำนาจควบคุมหรือกำหนดอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ทำให้ภาคธุรกิจการเงินมีแต่ความสับสนยุ่งเหยิงไปทั้งระบบทีเดียว และสาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะลักษณะความไม่แน่นอน ซึ่งปรากฏขึ้นทั่วไปอีกทั้งยังสร้างความหวดกลัวในจิตใจของชาวกัมพูชาด้วย

และแม้ว่าความหวาดกลัวดังกล่าวจะมีแนวโน้มลดลงไปบ้าง หลังจากที่สมเด็จนโรดมสีหนุได้กลับประเทศกัมพูชาอีกครั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แต่กว่าที่การเมืองในกัมพูชาจะพ้นจากภาวะอึมครึมไปอย่างจริงจังก็คงหลังการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่ปกครองประเทศแล้ว นอกจากนั้นสถานะของรัฐบาลพนมเปญชั่วคราวซึ่งขาดอำนาจในการบริหารประเทศอย่างเต็มที่ก็เป็นปัญหาอีกประการหนึ่ง

ด้านธนาคารกลางเองกำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะสร้างระบบธนาคารที่ทันสมัยขึ้น และขจัดระบบเศรษฐกิจแบบตลาดมืดไปเสีย แต่กลับต้องเผชิญอุปสรรคขัดขวางที่ยิ่งใหญ่กล่าวคือ ชาวกัมพูชาเองไม่มีความเชื่อถือในสกุลเงินตราของตน โดยทุกครั้งที่มีเงินเรียลในมือเป็นจำนวนมาก จะต้องเร่งเปลี่ยนไปเก็บในรูปของดอลลาร์หรือทองคำ หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ไว้แทน ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องฝากเงินไว้กับธนาคารซึ่งให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงถึง 100%-150%

ในส่วนการลงทุนจากตางประเทศนั้นแบบแผนต่าง ๆ ถูกบิดเบือนไป จากการที่มีแต่พ่อค้าที่หวังกอบโกยกำไรตอบแทนอย่างรวดเร็ว กับนักเก็งกำไรในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในทัศนะของนักลงทุนแล้ว สภาพความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรากับภาวะเงินเฟ้อที่สูงลิ่วเช่นนี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่บีบให้พวกเขาต้องมองแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น

ยิ่งกว่านั้น การขาดกฎหมายธนาคารพาณิชย์ยังสะท้อนด้วยว่า ธนาคารกลางขาดฐานอันแข็งแกร่ง ในขณะที่บรรดานักการธนาคารผู้หิวเงินต่างดาหน้าเข้าสู่พนมเปญ ผู้บริหารของธนาคารกลางของกัมพูชารายหนึ่งถึงกับบอกว่า "ในเวียดนามและลาวนั้นมีกฎเกณฑ์ในเรื่องนี้อยู่ แต่ที่กัมพูชา คุณคิดอยากจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น" จุดนี้เองที่ทำให้นักลงทุนบางส่วนจ้องฉวยโอกาสในห้วงเวลาที่ระบบการเงินยังผันผวนอยู่ อย่างกิจการ "แคนาเดีย โกลด์ แอนด์ ทรัสต์ คอร์ป" ที่สร้างความสับสนในธุรกิจการเงิน จนถึงขั้นที่นักการธนาคารรายหนึ่งตั้งคำถามว่า "กิจการแห่งนี้ประกอบธุรกิจธนาคารหรือว่าเป็นเพียงนักค้าทองกันแน่?" เป็นต้น

ส่วน CHA RIENG ผู้ว่าการธนาคารกลางของกัมพูชาเผยว่า เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศใช้กฎหมายธนาคารพาณิชย์ซึ่งช่วยจัดระบบการธนาคารให้พ้นจากความยุ่งเหยิงวุ่นวาย โดย CHA RIENG ชี้ว่ากฎหมายดังกล่าวอิงอยู่กับระเบียบข้อบังคับของธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ปรับให้เหมาะกับสภาพเงื่อนไขของกัมพูชา ซึ่งที่จริงแล้วธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผูกขาดคำแนะนำอย่างเงียบ ๆ แก่กัมพูชามาตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จนสร้างความสงสัยแก่นักการธนาคารต่างชาติในพนมเปญบางคน ในประเด็นความเหมาะสมสอดคล้องของระบบกฎหมายไทยกับเงื่อนไขแวดล้อมของกัมพูชา

นักการธนาคารรายหนึ่งให้ความเห็นว่า "กัมพูชาควรจะปรับเอาแง่มุมที่ดีจากระบบธนาคารหลาย ๆ ระบบมาใช้มากกว่า" ซึ่งสะท้อนถึงความหวาดกลัวว่ากฎหมายใหม่นี้จะจำกัดการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และทำให้ธุรกิจของพวกเขาต้องสะดุดลง

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คิดว่ากว่าที่กฎหมายดังกล่าวจะมีผลในเชิงปฏิบัติอย่างเต็มรูปนั้น คงต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองหรือสามปีทีเดียว "ถ้าหากเราสามารถปรับใช้กฎหมายธนาคารได้แล้ว ระบบธนาคารในประเทศจะเดินหน้าไปด้วยดี แต่หากไม่สามารถปรับใช้ได้ครบถ้วน 100% แล้วผลลัพธ์ก็จะกลับกลายเป็นตรงกันข้ามเลยทีเดียว" CHA RIENG กล่าวและเสริมในส่วนของการบังคับใช้กฎหมายว่า "ธนาคารกลางได้เชิญตัวแทนจากธนาคารต่าง ๆ เข้าร่วมประชุม และอธิบายชี้แจงถึงประเด็นสำคัญตามข้อกฎหมาย รวมทั้งขอร้องให้พวกเขาปฏิบัติตาม"

เท่าที่ผ่านมารัฐบาลพนมเปญได้อำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนต่างชาติที่สนใจเข้าไปประกอบธุรกิจธนาคารภายในประเทศพอสมควร โดยในเดือนธันวาคม 1991 ธนาคารแห่งชาติกัมพูชาได้ออกใบอนุญาตประกอบการแก่ธนาคารต่างชาติ 11 แห่ง เป็นกิจการร่วมทุนกับธนาคาร 9 แห่ง คือ ธนาคารเพื่อการพาณิชย์กัมพูชา, ธนาคารกสิกรกัมพูชา, ธนาคารเพื่อการพัฒนากัมพูชา, แคนาเดีย โกลด์ แอนด์ ทรัสต์ คอร์ป, นาวา โค ออฟ ฮังการี, ฮอค ฮัว ออฟ ซาราวัค, ธนาคารกสิกรไทย, กิจการของไทยภายใต้ชื่อ "นามคิป" และกิจการของเจ้าชายจักรพงศ์ผู้เป็นพระโอรสของสมเด็จนโรดมสีหนุ ส่วนกิจการที่เข้าไปตั้งสาขาอย่างเต็มรูปมี 2 รายคือ ธนาคารกรุงเทพสาขาพนมเปญ และธนาคารทหารไทยสาขาเกาะกง นอกจากนั้น ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด และแบงก์อินโดสุเอซก็เริ่มเข้าไปตั้งสำนักงานตัวแทนด้วย

หลังจากที่ธนาคารทั้ง 11 แห่งได้รับใบอนุญาตประกอบการแล้ว ปรากฏว่ามีกิจการ 2 แห่งคือนาวา และ นาม คิป ได้ขอถอนตัวออกมา โดยมีกิจการอีก 5 แห่งเข้าไปขอดำเนินการธุรกิจเพิ่มเติม ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย, แบงก์ อินโดสุเอซ, ธนาคารนครหลวง และกิจการเอกชนอีก 2 แห่งคือ รอยัล กัมโบเดีย แบงก์ และธนาคารพัฒนาเชิงพาณิชย์แห่งกัมพูชา

แต่ดูเหมือนว่ากิจการธนาคารที่ต้องการเข้าไปดำเนินการในกัมพูชาจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมามีกิจการธนาคารและบริษัทต่างชาติอีก 39 รายที่เข้ามาขอใบอนุญาตประกอบการเพิ่มเติมอีก และทำให้นักการธนาคารจำนวนไม่น้อยเริ่มอึดอัด เพราะไม่ได้คิดกันมาก่อนว่าจะมีคู่แข่งในธุรกิจแขนงนี้เป็นจำนวนมากถึง 50 แห่ง เมื่อเทียบกับตัวเลขรายได้ต่อหัวของประชากรและแบบแผนการออมภายในประเทศด้วยแล้ว หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดรัฐบาลจึงยอมออกใบอนุญาตประกอบการมากขนาดนั้น ซึ่ง CHA RIENG ให้คำตอบได้เพียงว่า "ธนาคารกลางได้ขอร้องให้กัมพูชาหยุดออกใบอนุญาตประกอบการเพิ่มเติมไปแล้ว แต่ทางคณะกรรมาธิการยังคงดำเนินการต่อไป" ทว่า ประเด็นที่น่าสังเกตก็คือ CHA RIENG เป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการจำนวน 10 รายนั้นด้วย

ความสับสนเกี่ยวกับบทบาทและความสำคัญของธนาคารกลางกับคณะกรรมาธิการการลงทุนต่างประเทศนั้น ชี้ชัดถึงความไร้ระบบในการออกใบอนุญาตประกอบการธนาคาร เนื่องจากกระบวนการในการอนุมัตินั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บริหารระดับสูงมากกว่าที่จะปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่วางไว้

ปกติแล้ว ขั้นตอนในการขอใบอนุญาตประกอบการธนาคารเริ่มต้นจากการยื่นแสดงความจำนงต่อคณะกรรมาธิการการลงทุนต่างประเทศแห่งกัมพูชา เมื่อได้รับอนุมัติในหลักการแล้วจึงติดต่อกับธนาคารกลางเพื่อให้ประเมินความน่าเชื่อถือและความเหมาะสม รวมทั้งจัดทำร่างข้อตกลง หลังจากนั้นจะส่งหลักฐานต่าง ๆ กลับไปยังคณะกรรมาธิการแห่งชาติ เพื่อดำเนินการออกใบอนุญาตประกอบการ โดยจะต้องให้สภาคณะรัฐมนตรีร่วมลงนามด้วย

ทว่า ในแง่การปฏิบัตินั้นกลับไม่ได้ดำเนินไปตามขั้นตอนข้างต้น ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งชี้ว่า "การตัดสินใจว่าควรให้มีธนาคารกี่แห่งนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับธนาคารกลางเพียงแห่งเดียว แต่ขึ้นอยู่กับกลุ่มที่มีอำนาจในการอนุมัติหลักการด้วย ในขั้นตอนแรกนั้นเป็นการตัดสินใจว่ากิจการธนาคารที่ขออนุมัตินั้นสมควรเข้ามาประกอบธุรกิจในกัมพูชาหรือเปล่า เมื่อได้รับอนุมัติแล้ว จึงดำเนินการวิเคราะห์ในรายละเอียดเกี่ยวกับความเหมาะสม ส่วนอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจที่ธนาคารมีอยู่ก็คือ การออกใบอนุญาตประกอบการเท่านั้น"

ปัญหาอีกประการหนึ่งในการประกอบธุรกิจธนาคารในกัมพูชาก็คือ ข้อจำกัดในเรื่องของเวลา โดยหลังจากที่ได้รับอนุมัติในหลักการแล้ว กิจการธนาคารแห่งนั้นจะต้องเปิดดำเนินการได้ภายใน 2 เดือน มิฉะนั้นจะถือว่าขาดคุณสมบัติ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อเป็นหนทางหนึ่งในการลดจำนวนใบอนุญาตประกอบการลง หรืออาจเป็นการป้องกันการขายใบอนุญาตประกอบการ หรืออาจเป็นการผลักดันให้ประกอบการธุรกิจแขนงนี้เป็นไปตามข้อตกลงและมีประสิทธิภาพ ขณะที่นักสังเกตการณ์บางรายเห็นว่า เหตุผลที่แท้จริงก็คือ ทุกฝ่ายที่สามารถฉกฉวยประโยชน์จากช่วงเวลาดังกล่าวจะต้องเร่งรีบก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และหนทางที่เร็วที่สุดได้แก่การซื้ออาคารสำนักงานเพื่อเปิดดำเนินการไปก่อน อันเป็นการแสดงว่าคุณได้เข้ามาลงทุนอย่างเป็นทางการแล้ว ส่วนเรื่องที่จะประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์หรือไม่นั้น ไม่ใช่ประเด็นปัญหาอะไร

แต่การที่ธนาคารถึงราว 50 แห่ง ต่างแย่งชิงกันเข้าไปตั้งสำนักงานหรือสาขาในกัมพูชากันยกใหญ่นั้นนับเป็นเรื่องน่าตกใจไม่น้อย ยิ่งเมื่อพิจารณาจากฐานรายได้ต่อหัวประชากรของชาวกัมพูชาด้วยแล้ว ตัวเลขดังกล่าวจัดได้ว่าไม่สมเหตุสมผลเลยทีเดียว นักวิเคราะห์ทางการเงินในพนมเปญรายหนึ่งก็ชี้ว่า "ธนาคารส่วนใหญ่ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจที่นี่ต่างมุ่งหวังผลประโยชน์ระยะสั้น มียกเว้นก็เฉพาะกิจการที่มีชื่อเสียงและมีรากฐานมายาวนานอย่างเช่น ธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้, บาร์เคลย์กับธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ บางแห่ง" ส่วนนักการธนาคารรายหนึ่งให้ทัศนะว่า "คนส่วนใหญ่คิดกันว่าถ้าเปิดธนาคารได้สักแห่งแล้วก็จะทำธุรกิจอื่น ๆ ต่อไปได้สะดวกขึ้น"

สิ่งที่น่าวิตกก็คือ ดูเหมือนว่าธนาคารกลางจะไม่ได้ทำหน้าที่ควบคุมดูแลกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่เข้าไปในกัมพูชาเท่าที่ควร และไม่มีใครเต็มใจหรือสามารถให้คำอธิบายใด ๆ ได้ชัดเจนเกี่ยวกับธนาคารระหว่างประเทศกัมพูชา (CAMBODIA INTERNATIONAL BANK) และกลุ่มที่ให้การสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นพาราไดซ์ กรุ๊ปแห่งไต้หวัน หรือกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังรอยัล กัมโบเดีย แบงก์ หรือธนาคารการพัฒนาเชิงพาณิชย์กัมพูชา (CAMBODIA COMMERCIAL DEVELOPMENT BANK)

ปัจจุบันเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางซึ่งเคยยึดถือแนวคิดสังคมนิยม จึงดูราวกับเป็นผู้ที่เปลี่ยนมาเชื่อว่า ตลาดจะเป็นตัวกำหนดเองว่ากิจการแห่งใดควรจะคงอยู่หรือควรเปิดสำนักงานในเมืองหลวงได้ และเพราะเหตุผลที่ฟังดูง่าย ๆ นี้ ประกอบกับความไร้ระบบในเรื่องการธนาคารนี่เอง ที่ทำให้ธนาคารไม่สูญเสียอะไรมากนักหากต้องปิดกิจการไป และนี่จึงเป็นเหตุผลประการสำคัญ ที่ทำให้ผู้ที่ต้องการเข้าไปประกอบธุรกิจธนาคารในกัมพูชามีจำนวนมากมายอย่างที่ปรากฏ

ประเด็นที่น่าเป็นห่วงก็คือว่า ความไร้ระบบดังกล่าวยังเป็นทางเปิดสำหรับนักธุรกิจทั้วไปที่ต้องการชิมลางกับธุรกิจแขนงนี้ โดยไม่จำกัดอยู่เฉพาะนักการธนาคารเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าธนาคารกลางของกัมพูชาและคณะกรรมาธิการการลงทุนต่างประเทศกำลังเล่นกับไฟ เพราะหากปล่อยให้มีกิจการธนาคารเป็นจำนวนมาก ๆ แล้ว ในอนาคตกิจการขนาดเล็กที่ขาดความเชี่ยวชาญ อาจถูกบีบบออกจากการแข่งขันจนต้องตกเวทีธุรกิจไป และเมื่อนั้นความปั่นป่วนย่อมเกิดขึ้น โดยเฉพาะในประเด็นเกี่ยวกับเงินฝากของลูกค้า

ข้อสรุปที่น่าจะเหมาะสมสำหรับประเด็นข้างต้น ดูเหมือนจะเป็นคำของผู้จัดการสาขาของธนาคารแห่งหนึ่งในพนมเปญที่ว่า "ผมคิดว่าประเทศนี้ยังไม่มีความพร้อมสำหรับธนาคารพาณิชย์เลย"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us